รัฐบาลของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศนโยบายใหม่ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วภาคเทคโนโลยีและวิชาการ ด้วยการกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับวีซ่า H-1B สูงถึง 1 แสนดอลลาร์ (ประมาณ 3.225 ล้านบาท) โดยให้เหตุผลว่ามาตรการนี้จะช่วยปกป้องและสร้างโอกาสให้กับแรงงานชาวอเมริกัน แต่ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ นโยบายนี้อาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจในภาพรวมมากกว่าผลดี
วีซ่า H-1B คือช่องทางหลักสำหรับแรงงานทักษะสูงจากต่างชาติในการเข้ามาทำงานในสหรัฐอเมริกา โดยผู้ที่ได้รับวีซ่าส่วนใหญ่มักจะทำงานในสายวิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) ซึ่งบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Amazon.com คือผู้ที่ใช้งานวีซ่าประเภทนี้มากที่สุด โดยข้อมูลจาก Pew Research Center พบว่าเกือบ 3 ใน 4 ของผู้ได้รับวีซ่า H-1B ในปี 2023 นั้นเป็นแรงงานที่เกิดในประเทศอินเดีย
รัฐบาลทรัมป์ให้เหตุผลว่าระบบปัจจุบันถูกบริษัทเทคโนโลยีใช้เป็นช่องทางในการจ้างแรงงานต่างชาติที่ค่าจ้างถูกกว่า การตั้งกำแพงค่าธรรมเนียมที่สูงลิ่วจะช่วยคัดกรองให้มีเพียงแรงงานทักษะสูงที่ดีที่สุดเท่านั้นที่เข้ามาได้ ซึ่งจะทำให้มีตำแหน่งงานเหลือสำหรับแรงงานชาวอเมริกันมากขึ้น
ในมุมมองนี้ นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนเห็นด้วยว่า อาจมีแรงงานชาวอเมริกันกลุ่มเล็กๆ เช่น โปรแกรมเมอร์คอมพิวเตอร์บางส่วน ที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการแข่งขันที่ลดลง เคิร์ก โดแรน (Kirk Doran) นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Notre Dame กล่าวว่า “สำหรับงาน H-1B ทั่วไปในบริษัทเอกชนส่วนใหญ่นั้น มักจะมีแรงงานในประเทศที่สามารถทำงานทดแทนได้อยู่แล้ว”
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่กลับมองว่า ‘ผลกระทบ’ ในเชิงลบนั้นมีมากกว่า ไมเคิล เคลเมนส์ (Michael Clemens) นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย George Mason กล่าวว่า “วีซ่า H-1B คือสิ่งที่ก่อให้เกิด ‘นวัตกรรม’, การเป็นผู้ประกอบการ และการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา ซึ่งช่วยเพิ่มผลิตภาพโดยรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสร้างโอกาสงานและรายได้ที่สูงขึ้นให้กับแรงงานในประเทศทุกระดับ”
เจนนิเฟอร์ ฮันต์ (Jennifer Hunt) นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Rutgers University ได้เตือนว่ามาตรการนี้อาจรุนแรงถึงขั้นปิดฉากโครงการ H-1B ทั้งหมด ซึ่งจะส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อ ‘เศรษฐกิจ’ ในภาพรวม เธอมองว่าแรงงาน H-1B ไม่ได้เข้ามาเพื่อทดแทนแรงงานอเมริกัน แต่เข้ามาเพื่อเติมเต็มซึ่งกันและกัน ทำให้แรงงานในประเทศทำงานได้ดีและมีผลิตภาพสูงขึ้น
นอกจากนี้ งานวิจัยของ บริตตา เกลนนอน (Britta Glennon) ยังพบว่าเมื่อมีการจำกัดวีซ่า H-1B บริษัทข้ามชาติของสหรัฐฯ ก็มักจะเลือกที่จะย้ายงานส่วนนั้นไปทำในต่างประเทศแทนที่จะจ้างคนในประเทศเพิ่ม ซึ่งหมายความว่าตำแหน่งงานเหล่านั้นก็จะหายไปจากสหรัฐฯ อยู่ดี
ทำเนียบขาวได้อ้างอิงงานวิจัยชิ้นหนึ่งในปี 2017 ที่ระบุว่าแรงงาน H-1B ทำให้ค่าจ้างของนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (computer scientists) ในประเทศลดลง แต่กลับไม่ได้กล่าวถึงข้อค้นพบอื่นๆ ในงานวิจัยชิ้นเดียวกัน ที่ระบุว่าแรงงานในสายเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นๆ กลับมีรายได้เพิ่มขึ้น และผู้บริโภคโดยรวมได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมที่เกิดขึ้น
กอราฟ คันนา (Gaurav Khanna) หนึ่งในผู้เขียนงานวิจัยดังกล่าว ได้กล่าวชี้แจงว่า “เมื่อเราพิจารณา ‘ภาพรวม’ ทั้งหมดแล้ว โดยรวมแรงงานที่เกิดในสหรัฐฯ จะได้รับประโยชน์มากกว่าผลเสีย” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทำเนียบขาวอาจเลือกใช้ข้อมูลเพียงบางส่วนเพื่อสนับสนุนนโยบายของตนเอง
เคิร์ก โดแรน ซึ่งเป็นผู้ที่มองเห็นข้อดีของนโยบายนี้ ก็ยังคงแสดงความกังวลถึงผลกระทบในระยะสั้น เขากล่าวว่าแม้ตลาด ‘แรงงาน’ ของสหรัฐฯ จะสามารถปรับตัวได้ในระยะยาว แต่การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันจะสร้างความบอบช้ำ (Trauma) ให้กับตลาดแรงงานได้
เขากล่าวว่า “ความบอบช้ำในตลาดแรงงานจะเกิดขึ้นเมื่อมีปัจจัยกระแทกที่รุนแรงเข้ามา และไม่มีเวลาเพียงพอที่จะปรับตัว” ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะตำแหน่งงานว่างจำนวนมากในบริษัทที่เคยพึ่งพาแรงงาน H-1B แม้จะมีแรงงานในประเทศเพียงพอ แต่ก็อาจจะไม่ได้อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีงานนั้นๆ ซึ่งจะสร้างปัญหาที่ซับซ้อนตามมาอีกทอดหนึ่ง
หมายเหตุ: ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.25 บาท ณ วันที่ 25 กันยายน 2568
ภาพ: GaudiLab / Shutterstock
อ้างอิง: