ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศวานนี้ (4 พฤษภาคม) ว่าเขาได้มีคำสั่งให้เรียกเก็บภาษีในอัตรา 100% สำหรับภาพยนตร์ทุกเรื่องที่ถ่ายทำนอกสหรัฐฯ โดยอ้างว่า วงการฮอลลีวูดกำลัง ‘ได้รับผลกระทบอย่างหนัก’ จากกระแสที่ผู้สร้างภาพยนตร์และสตูดิโอภาพยนตร์ของสหรัฐฯ หันไปทำงานในต่างประเทศ
“ผมสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เริ่มดำเนินการจัดเก็บภาษี 100% ต่อภาพยนตร์ทุกเรื่องที่เข้ามาในประเทศของเราและถ่ายทำในต่างประเทศ” ทรัมป์ระบุในข้อความที่โพสต์ผ่าน Truth Social
ทรัมป์ยังตำหนิ “ความพยายามร่วมกัน” ของประเทศต่างๆ ที่เสนอแรงจูงใจเพื่อดึงดูดผู้สร้างและสตูดิโอภาพยนตร์ โดยชี้ว่าเป็น ‘ภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ’
“อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในอเมริกากำลังจะตายลงอย่างรวดเร็ว ประเทศอื่นๆ เสนอแรงจูงใจมากมายเพื่อดึงผู้สร้างภาพยนตร์และสตูดิโอของเราออกจากสหรัฐฯ”
ด้าน ฮาวเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ตอบสนองต่อคำสั่งเรียกเก็บภาษีดังกล่าว โดยระบุว่ากำลังดำเนินการ
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ยังคงเป็นศูนย์กลางการผลิตภาพยนตร์ที่สำคัญของโลก แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากมาตรการภาษีดังกล่าว
ขณะที่รายงานประจำปีของบริษัทวิจัยอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ProdPro ระบุว่า ในปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ มีการใช้จ่ายด้านการผลิตภาพยนตร์เป็นเงิน 14,540 ล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลงมา 26% นับตั้งแต่ปี 2022
รายงานยังชี้ว่า ในช่วงเวลาเดียวกัน มีหลายประเทศที่ดึงดูดผู้ผลิตภาพยนตร์ต่างชาติให้เข้าไปถ่ายทำเพิ่มมากขึ้น รวมถึงออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา และสหราชอาณาจักร
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีการประกาศล่าสุดนี้ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของสหรัฐฯ ก็ได้รับผลกระทบอยู่แล้วจากผลพวงมาตรการภาษีตอบโต้ของทรัมป์
โดยจีน ซึ่งเผชิญภาษีตอบโต้ของทรัมป์ในอัตรา 145% ประกาศจะลดโควตาภาพยนตร์อเมริกันที่อนุญาตให้เข้าฉายในประเทศ
สำนักบริหารภาพยนตร์จีน ระบุว่า “การกระทำที่ผิดพลาดของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการใช้มาตรการภาษีกับจีน จะทำให้ความนิยมของผู้ชมในประเทศต่อภาพยนตร์อเมริกันลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจะปฏิบัติตามกฎของตลาด เคารพการเลือกของผู้ชม และลดจำนวนภาพยนตร์อเมริกันที่นำเข้ามาอย่างพอประมาณ”
ภาพ: AaronP/Bauer-Griffin/GC Images
อ้างอิง: