จากนโยบายลดขนาดปฏิรูปหน่วยงานรัฐสหรัฐฯ ของ โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเป็นอีกความเสี่ยงที่จะมาเขย่าผลประกอบการกับบริษัทที่เกี่ยวข้อง และมีความเสี่ยงที่ทำให้ตัวเลขการว่างงานของสหรัฐฯ สูงขึ้น
สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า ประเด็นที่สหรัฐฯ มีนโยบายปฏิรูปหน่วยงานภาครัฐ โดยจะลดขนาดของหน่วยงานภาครัฐลงจากปัจจุบันมองว่าใหญ่เกินไป โดยคาดว่าจะช่วยประหยัดงบประมาณรายจ่ายได้ประมาณ 55,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
ทั้งนี้ มาจากนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ รวมทั้งข้อเสนอของ อีลอน มัสก์ เนื่องจากก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยเรียนรู้โครงสร้างของหน่วยงานภาครัฐของสหรัฐฯ ตั้งแต่ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยแรก โดยในช่วงดังกล่าวมีเหตุการณ์ Government Shutdown ทำให้ทราบถึงความจำเป็นในการทำงานของหน่วยงานต่างๆ
นโยบายลดงบประมาณรายจ่ายสหรัฐฯ สะเทือนใครบ้าง
โดยจากนโยบายดังกล่าวจะมีการดำเนินการเรื่องสำคัญ ได้แก่ การลดงบประมาณรายจ่ายทางการทหารลง การลดงบประมาณรายจ่ายด้านไอที การลดงบประมาณรายจ่ายของสวัสดิการทหารผ่านศึกของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านสวัสดิการที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก
ขณะที่ประเด็นการลดงบประมาณรายจ่ายด้านไอทีของสหรัฐฯ จะผลกระทบให้มีการเปลี่ยนแปลงสัญญาเกี่ยวกับงานระบบ IT and Services ให้มีแนวโน้มการใช้งานลดลง ซึ่งอาจจะมีผลกระทบผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีความเกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ดี จากนโยบายลดขนาดหน่วยงานภาครัฐของสหรัฐฯ ดังกล่าว งบประมาณรายจ่ายประมาณ 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยหากเปรียบเทียบกับงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ กับจำนวนหนี้คงค้างของสหรัฐฯ ที่มีจำนวน 29 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งค่าใช้จ่ายที่ลดลงจากนโยบายดังกล่าวถือว่าไม่มาก จึงเชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มากนัก
นโยบายทรัมป์ส่อดันตัวเลขว่างงานสหรัฐฯ ขยับขึ้น
สิทธิชัยยังประเมินต่อว่า ประเด็นการลดขนาดหน่วยงานและงบประมาณของของภาครัฐดังกล่าวของสหรัฐฯ จะมีผลต่ออัตราการว่างงานให้เพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง แต่บุคคลกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่ม Skilled Labour
สำหรับภาพต่อมา ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แนะนำให้มีความระมัดระวังในกลุ่มที่มีการพึ่งพิงรายได้จากภาครัฐของสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่สูง เช่น กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศและไอที
หุ้นเทคสหรัฐฯ กับจีน ตลาดไหนน่าลงทุนมากกว่ากัน
สำหรับผลประกอบการในหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 หรือบริษัท 7 หุ้นนางฟ้า ผลประกอบการในไตรมาส 4/24 ที่รายงานออกมาอยู่ในทิศทางที่ดี สะท้อนภาพถึงปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัวในกลุ่มนี้ โดยมีการเติบโตของรายได้ที่เติบโตขึ้นในทุกบริษัทที่ทยอยประกาศผลประกอบการออกมา
ทั้งนี้ หากเทียบเคียงกับหุ้น 8 บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของตลาดหุ้นจีนซึ่งมีผลประกอบการที่ออกมาในภาพที่คล้ายกันสะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานที่ยังเติบโต ขณะที่ภาพการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) กลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มอัตราการเติบโตที่สูงกว่า บจ. กลุ่มเทคของจีนซึ่งมีอัตราการเติบโตของรายได้ที่ยังต่ำกว่า 10%
อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างร้อนแรงในช่วงก่อนหน้านี้มีสัดส่วนประมาณ 50% มาจากแรงผลักดันของหุ้น 2 ตัว คือ Tencent กับ Alibaba โดยการแนะนำการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีของจีน แนะนำให้ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ เพราะมีความเสี่ยงทางฐานะการเงินที่ต่ำ อีกทั้งมีความทนทานจากปัจจัยภายนอกมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบของหุ้นขนาดเล็ก
ส่วนกรณีของผลกระทบการเข้ามาของ DeepSeek มองว่าเป็นสัญญาณเตือนว่า การพัฒนาการแข่งขันของ AI จะมีความชัดเจนขึ้น เนื่องจากมองว่าหลังจากสหรัฐฯ กดดันจีนบีบให้มีข้อจำกัดในการพัฒนา AI ซึ่งหากจีนสามารถทลายข้อจำกัดดังกล่าว และสามารถพัฒนา AI ออกมาได้ ส่งผลให้สามารถพัฒนา AI ได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง
ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ Tencent กับ Alibaba นำโมเดลการพัฒนา AI ของ DeepSeek ไปศึกษาและประยุกต์พัฒนา AI ของบริษัทในอนาคตข้างหน้า
อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่สนับสนุนให้ผู้พัฒนา AI สามารถประสบความสำเร็จทางธุรกิจได้ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลัก ดังนี้
- การมีใช้บริการจำนวนมาก
- การมีผลิตภัณฑ์จำนวนมากให้กับผู้ใช้บริการ
ทั้งนี้ แนะนำให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่ม Magnificent 7 มากกว่า 8 หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของจีน โดยมีมุมมองว่ามีแนวโน้มการเติบโตที่มีความชัดเจนมากกว่า
อีกทั้งภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีทิศทางและภาพที่ดีกว่าเศรษฐกิจของจีน รวมถึงรัฐบาลของสหรัฐฯ ยังมีนโยบายเชิงรุกในการจำกัดการพัฒนาเทคโนโลยีของจีน ดังนั้นจึงมีมุมมองว่าหุ้น Magnificent 7 จะมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่าแม้จะมีมูลค่าหุ้นหรือราคาที่แพงกว่า แต่มีมุมมองว่ามีปัจจัยพื้นฐานที่มีความแข็งแรงมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ 8 หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของจีน
ขณะที่มุมมองต่อตลาดหุ้นจีน A-Shares หากพิจารณาถึงภาพจากการท่องเที่ยวในช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา รวมถึงตัวเลขข้อมูลของตลาดที่อยู่อาศัยของจีนจะพบว่า การฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนจะเป็นลักษณะฐานฟื้นตัวแบบยูเชฟ ซึ่งการฟื้นตัวยังต้องใช้ระยะเวลาที่นาน ขณะที่ความเสี่ยงของ Downside ของเศรษฐกิจคาดว่าจะไม่ได้ย่ำแย่ไปกว่าปัจจุบันที่เป็นอยู่
“ภาพรวมของตลาดหุ้นจีนยังตอบได้ยาก เพราะขึ้นกับ Sentiment ของเศรษฐกิจจีนว่าจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าถามว่าตลาดหุ้นจีนยังลงทุนได้ไหม ก็อยากให้เริ่มลงทุนจากสินค้าอุตสาหกรรมที่มีความชัดเจนอยู่อย่าง เช่น หุ้น Xiaomi หรือกลุ่มที่ทำโทรศัพท์มือถือก็ยังมีแนวโน้มที่จะมีอัตราการเติบโตได้เช่นกัน”
ภาพ: Phil Mistry / Shutterstock