ต่อเนื่องจากฟอร์มที่ไล่ตามตีเสมอจ่าฝูงอาร์เซนอลและเกือบจะแซงเอาชนะได้ด้วยในเกมที่แล้ว ลิเวอร์พูลเหมือนจะค้นพบฟอร์มเก่งของตัวเองอีกครั้งด้วยการบุกไปถล่มลีดส์ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์เด็ดขาดถึง 6-1
จริงอยู่ที่ทีม ‘ยูงทอง’ ยามนี้ตกที่นั่งลำบาก ฟอร์มการเล่นย่ำแย่ (ก่อนหน้านี้ก็โดนคริสตัล พาเลซ บุกมาถล่มคาเอลแลนด์ โรด 5-1 เหมือนกัน) แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าฟอร์มของลิเวอร์พูลที่ปรากฏนั้นดูค่อนข้างน่าประทับใจชนิดที่ เจอร์เกน คล็อปป์ นายใหญ่ชาวเยอรมันออกปากชมผลงานของทีมว่า “นี่คือเกมที่เราเล่นกันได้ดีที่สุดของฤดูกาล”
นั่นหมายถึงดีกว่าเกมโชว์สปิริตไล่ตามอาร์เซนอล หรือเกมถล่มแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 7-0 หรือแม้แต่เกมถล่มบอร์นมัธ 9-0 เมื่อต้นฤดูกาล? เรื่องนี้เป็นเรื่องของความรู้สึกที่ตอบกันได้ยาก แต่มันมีประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจและกำลังเป็นที่พูดถึงในหมู่เดอะ ค็อปทั่วโลก กับบทบาทใหม่ของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ดูเหมือนจะค้นพบสิ่งที่ชอบในงานที่ใช่อีกครั้ง
ย้อนกลับไปในเกมที่ลิเวอร์พูลตามตีเสมออาร์เซนอล ในเกมนั้นเริ่มมีการสังเกตกันว่าแบ็กขวาที่เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ถูกถล่มย่อยยับที่สุดในฤดูกาลที่ผ่านมา ว่าซึ่งด้วยผลงานก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสมควรจะโดนไม้เรียวฟาดจริงๆ นั้น มีการขยับตำแหน่งมายืนตรงกลางสนามมากกว่าจะยืนริมเส้นฝั่งขวา
ตำแหน่งการเล่นและบทบาทของเทรนต์ในรูปแบบนี้เรียกกันในภาษาลูกหนังว่า ‘Inverted Fullback’ หรือฟูลแบ็กที่กลับตำแหน่งมายืนด้านใน ซึ่งความจริงก็ไม่ได้เป็นของใหม่อะไร เพราะเป็นวิธีการเล่นที่เคยใช้กันมาก่อนแล้วกับ ฟิลิปป์ ลาห์ม ซึ่งเป็นไอเดียของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ซึ่งต่อมากลายเป็นหนึ่งในทีเด็ดที่ช่วยให้ทีมชาติเยอรมนีได้อานิสงส์คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิลได้ด้วย
ก่อนที่ โจชัว คิมมิช จะรับสืบทอดบทบาทนี้ต่อจากลาห์ม ทั้งกับทีมบาเยิร์น มิวนิกและทีมอินทรีเหล็กในเวลาต่อมา
ในพรีเมียร์ลีกเองเป๊ปได้นำ Inverted Fullback มาใช้ในทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยการขยับ ชูเอา คันเซโล มาเป็นตัวกลางและมีส่วนสำคัญในการทำให้ทีมประสบความสำเร็จในช่วงก่อนหน้านี้ และล่าสุดคือการขยับเอา จอห์น สโตนส์ นักเตะที่เคยเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟและแบ็กขวามาเล่นในแบบเดียวกัน ซึ่งก็ทำได้ดีมากด้วย
ขณะที่ มิเกล อาร์เตตา อดีตมือขวาของเป๊ปก็ใช้เหมือนกัน เมื่อได้ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก แบ็กซ้ายที่ดึงตัวมาจากทีมเก่าอย่างซิตี้ และมีส่วนสำคัญในการลุ้นแชมป์ลีกในฤดูกาลนี้
อย่างไรก็ดี การเล่นของเทรนต์นั้นคล็อปป์บอกว่าเขาแค่มายืนเป็น ‘หมายเลข 6’ หรือกองกลางตัวรับอีกคนร่วมกับฟาบินโญในแดนกลาง ซึ่งในเกมกับอาร์เซนอลก็ถือว่าทำผลงานได้ค่อนข้างดี นอกจากจะมีส่วนสำคัญทั้งในแดนกลางแล้วยังมีโอกาสในการเติมไปช่วยทำแอสซิสต์เปิดให้ โรแบร์โต เฟอร์มิโน ตัวสำรองที่ลงมาโขกประตูตีเสมอ 2-2 ด้วย
แต่ความจริงแล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เทรนต์ขยับเข้ามาด้านในทำหน้าที่คล้ายมิดฟิลด์ แล้วตกลงมันแตกต่างจากเดิมอย่างไร?
เรื่องการปรับบทบาทของเทรนต์นั้น The Athletic สื่อกีฬาระดับโลกได้วิเคราะห์ว่า การเปลี่ยนบทมายืนเป็นกองกลางในระบบสมัยใหม่อย่าง 3-2-5 คราวนี้มีข้อแตกต่างจากเดิม
จุดที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่สุดคือการที่ก่อนหน้านี้เทรนต์จะขยับเข้ามาเล่นตรงกลางมากขึ้น เพื่อให้มี ‘อิสระ’ ในการเล่น โดยจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะเคลื่อนที่ไปจุดไหน
แต่สำหรับครั้งนี้นี่เป็นบทบาทที่ถูกมอบหมายมาอย่างมีกลยุทธ์ มีการวางแผนมาก่อน และเป็นการขยับเข้ามาเล่นแบบ ‘ตั้งใจ’ จริงๆ
ในเกมกับอาร์เซนอลนั้น เมื่อลิเวอร์พูลได้บอลเปิดเกมจากแดนหลัง เทรนต์จะขยับตัวเองเข้ามายืนตรงกลางร่วมกับฟาบินโญ ทำให้เป็น ‘หมายเลข 6’ คู่กัน (Double pivot) โดยที่ในแดนหลังจะมีการปรับมายืนกองหลัง 3 คนแทนคือ อิบราฮิมา โกนาเต, เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน
คนที่รับบทหนักคือโกนาเตที่ต้องเล่นเป็นทั้งเซ็นเตอร์แบ็กและแบ็กขวาในคนเดียวกัน (DC+DR) โดยที่จะมีมิดฟิลด์และกองหน้าฝั่งขวา ซึ่งในเกมนั้นคือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ลงประจำการ
ในช่วงแรกของเกมที่แอนฟิลด์ อาร์เซนอลยังสามารถเพรสซิงลิเวอร์พูลอย่างหนัก ทำให้เทรนต์ยังมีปัญหากับการขึ้นเกม แต่หลังจากนั้น – โดยเฉพาะหลังจากที่มีกรณีปะทะนอกเกมกับ กรานิต ชากา – แบ็กขวาที่หลายคนอยากเห็นเขามายืนเป็นมิดฟิลด์ก็ค่อยๆ เริ่มปรับตัวเข้ากับระบบและวิธีการเล่นใหม่ได้
รายละเอียดในใบงานของเทรนต์ไม่มีอะไรมาก
- รับบอลจากกองหลัง
- สแกนมองหาตัวเลือกที่จะเปิดบอล
- เปิดบอลให้เพื่อน
แต่ในรายละเอียดจริงๆ แล้ว หากให้สรุปแบบรวบรัดที่สุดจะออกมาเหมือนกับ เฮนรี วินเทอร์ นักเขียนฟุตบอลระดับชั้นนำของวงการจาก The Times บัญญัติเอาไว้ว่า เทรนต์ในบทบาทใหม่เป็นเหมือน ‘ควอเตอร์แบ็ก’ มากกว่า ‘ฟูลแบ็ก’ (ในขณะที่ โจนาธาน วิลสัน แห่ง The Guardian บอกว่ามันเหมือนย้อนยุคกลับไปในตำแหน่งที่เรียกว่า Wing-half)
โดยคุณสมบัติ 3 สิ่งที่มีส่วนสำคัญในการช่วยให้เขาเอาตัวรอดได้คือเรื่องของการเก็บบอล ครองบอล ที่ถือว่าเหนียวแน่นใช้ได้ และไหวพริบการเอาตัวรอด
สิ่งสุดท้ายคือ ‘วิสัยทัศน์’ (Vision) ในการเล่น ซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษของแบ็กขวารายนี้ที่มักจะมองเห็น ‘เส้นทาง’ ที่ไม่ใช่ทุกคนจะมองเห็น โดยที่เท้าขวาของเจ้าตัวนั้นมีความแม่นยำในระดับน้องๆ เควิน เดอ บรอยน์
นั่นทำให้ลิเวอร์พูลค่อยๆ กลับมาครองเกมในแดนกลางได้ สามารถสร้างเกมขึ้นมาได้โดยอาศัยการเปิดบอลทั้งสั้น-ยาว-ลีกที่แม่นยำ
โดยที่ในเทรนต์เองยังมี ‘พลัง’ มากพอที่จะช่วยขยับเติมไปเล่นริมเส้นตามถนัดได้ด้วย ซึ่งก็นำไปสู่การเอาชนะซินเชนโกในช่วงท้ายเกม และเปิดให้เฟอร์มิโนทำประตูตีเสมอ
ความสำเร็จในเกมนั้นถูกต่อยอดมาในเกมกับลีดส์ ซึ่งแน่นอนด้วยคุณภาพของผู้เล่น ฟอร์มของทีมไม่สามารถเทียบกับอาร์เซนอลได้ เทรนต์จึงกลายเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดในทีมลิเวอร์พูลในเกมที่เอลแลนด์ โรด โดยแม้จะไม่มีชื่อเป็นผู้ทำประตู แต่ค่าสถิติของเขานั้นยอดเยี่ยมอย่างมาก
- สัมผัสบอล 153 ครั้ง
- ผ่านบอลสำเร็จ 124 จาก 136 ครั้ง
- ผ่านบอลยาวแม่นยำ 12 ครั้ง
- ผ่านบอลเข้าพื้นที่สุดท้าย (Final third) 20 ครั้ง
- ตัดบอล 2 ครั้ง
- ช่วยไล่บอล (Ball recoveries) อีก 11 ครั้ง
และแน่นอนว่ามีอีก 2 แอสซิสต์สวยๆ โดยลูกแรกแม้จะน่ากังขาว่าจังหวะตัดบอลได้จาก จูเนียร์ เฟียร์โป เป็นการทำแฮนด์บอลหรือไม่ แต่ก็สอดขึ้นไปเปิดบอลให้ โคดี กักโป ยิงประตูแรกให้กับทีมได้ ก่อนที่จะเปิดบอลจากแนวลึกให้ ดาร์วิน นูนเญซ ยิงประตูปิดท้าย 6-1
มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าเทรนต์กำลังสนุกกับบทบาทใหม่ ซึ่งเขาไม่ต้องกลายเป็น ‘เป้า’ ให้ปีกซ้ายคู่แข่งจ้องเล่นงานตลอดเวลาอีกแล้ว แถมยังได้ใช้ความถนัดของตัวเองในการสร้างสรรค์เกมด้วยการเปิดบอลที่แม่นยำอีกด้วย
สิ่งที่ลิเวอร์พูลได้จากการปรับเขามายืนบทบาทตรงนี้คือการที่ทีมค้นพบวิธีการเล่นใหม่ๆ เปลี่ยนจุดอ่อนให้เป็นจุดแข็งได้ในการเดินหมากตาเดียว และทำให้ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมที่กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง ซึ่งหากรักษามาตรฐานการเล่นในระดับนี้ได้ ก็มีโอกาสจะจบฤดูกาลได้อย่างสวยงามในฤดูกาลที่เป็นเหมือนหายนะมาโดยตลอด
แน่นอนว่าเทรนต์จะเล่นแบบนี้ไม่ได้เลยหากไม่มีความช่วยเหลือจากเพื่อนอย่างโกนาเต หรือเฮนเดอร์สันที่พยายามชดเชยเรื่องความอ่อนแอในเกมรับให้ ในขณะที่อีกฟากสนาม เคอร์ติส โจนส์ ก็เล่นร่วมกับ ดีโอโก โชตา และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ได้ยอดเยี่ยมเหมือนกัน
แต่สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นเช่นกัน หากเขาถอดใจและยอมแพ้ต่อเสียงวิจารณ์ที่ถล่มเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง
จากนี้ไปจะเป็นบทพิสูจน์ตัวตนของนักฟุตบอลที่ได้รับการยกย่องว่าพิเศษที่สุดคนหนึ่งในยุคนี้ ว่าการค้นพบครั้งนี้จะเป็นการค้นพบตัวตนใหม่ เป็นการเปิดประตูบานใหม่ให้กับทั้งสโมสร (ที่จะสามารถวางแผนการเสริมทีมใหม่ได้ง่ายขึ้น) และตัวเองจริงๆ หรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่สายลมที่พัดผ่านมาแค่ชั่วครั้งชั่วคราว
ดูจากแววตาเจ้าตัวในเกมนี้แล้ว มีประกายชัดเจนอยู่ในนั้น เช่นกันกับเหล่าแฟนเดอะ ค็อปที่เหมือนได้เจอกับเจ้าเด็กเก่งจอมมุ่งมั่นคนเดิมอีกครั้ง
อ้างอิง:
- https://theathletic.com/4414520/2023/04/17/alexander-arnold-liverpool-midfield/
- https://www.theguardian.com/football/blog/2023/apr/15/wing-half-full-back-trent-alexander-arnold-liverpool
- https://www.thetimes.co.uk/article/reinvented-trent-alexander-arnold-could-remedy-liverpool-s-midfield-malady-hvbhx7dx0
- ก่อนจะแจ้งเกิดในตำแหน่งแบ็กขวา ความจริงแล้วเทรนต์เล่นเป็นมิดฟิลด์กึ่งปีกขวามาก่อน
- หลังจบเกมกับลีดส์ คล็อปป์นิยามเทรนต์ว่า “เป็นทั้งแบ็ก เป็นทั้งมิดฟิลด์”