ค่ำคืนนี้ลิเวอร์พูลมีคิวต้องลงสนามอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นเกมที่ 3 ในระยะเวลาห่างกันแค่ 1 สัปดาห์สำหรับลูกทีมของ เจอร์เกน คล็อปป์ ในช่วงที่โปรแกรมการแข่งขันที่ยิ่งใกล้เส้นชัยเท่าไรก็สัมผัสได้ถึงความโหดมากขึ้นเท่านั้น
พวกเขาจะต้องยกพลไปเยือนสนามเอลมาดริกัล รังเหย้าของทีมบียาร์เรอัล สโมสรฟุตบอลในเมืองเล็กๆ ทางตอนใต้ของสเปน ซึ่งเป็นทีมที่มีสายสัมพันธ์บางประการกับเมืองลิเวอร์พูล เพราะสมญาของพวกเขาคือ ‘El Submarino Amarillo’ หรือ Yellow Submarine นั้นก็มาจากบทเพลงของ The Beatles วงดนตรีร็อกแอนด์โรลระดับตำนานตลอดกาลที่มาจากอดีตเมืองท่าของอังกฤษแห่งนี้นั่นเอง
ที่สำคัญคือเดิมพันนั้นมีความหมายสูงมาก เพราะนี่เป็นโอกาสที่ลิเวอร์พูลจะได้ผ่านเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 5 ปี ต่อจากปี 2018 และ 2019 ซึ่งจะเป็นการประกาศกร้าวว่า ทีมในยุคนี้นั้นเกรียงไกรไม่แพ้ยุคเรืองรองช่วงปี 70-80 ที่ปกครองน่านฟ้ายุโรป
ทั้งนี้ แม้ว่าจะได้เปรียบจากผลต่างประตูรวม 2 นัดที่นำไปก่อน 2-0 จากชัยชนะเกมแรกในแอนฟิลด์เมื่อวันพุธที่แล้ว ซึ่งเป็นฟอร์มการเล่นที่นับว่าเด็ดขาดอย่างยิ่ง แต่คล็อปป์และลูกทีมทุกคนรู้ดีแก่ใจว่าหากพวกเขาเผลอไผลขึ้นมา โอกาสน้ำตาจะเช็ดหัวเข่าก็มี ไม่ใช่ไม่มี
เพียงแต่ในสถานการณ์โค้งสุดท้ายของฤดูกาลที่ชวนตึงเครียด สำหรับนักเตะลิเวอร์พูลแล้วพวกเขากลับรู้สึกคึกคักไปกับความท้าทายที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งรวมถึง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบ็กขวาที่สร้างสรรค์เกมรุกได้ดีที่สุดคนหนึ่งของโลกยามนี้ด้วย
“ผมรู้สึกว่าพวกเราตื่นเต้นไปกับมัน” อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กล่าว “ผมรู้สึกว่าช่วงนี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับฤดูกาลเสมอ ทุกเกมเป็นเหมือนนัดชิง และเรากำลังพยายามจะลุยในทั้ง 3 ถ้วยที่มีโอกาสอยู่
“เกมแบบนี้เป็นเกมที่น่าตื่นเต้นที่เราอยากจะลงเล่น เราต้องการทำทุกอย่างให้ดี เราต้องการเกมที่จะทำให้รู้สึกว่าเราจำเป็นต้องชนะ มันเป็นความน่าตื่นเต้น ความรู้สึกในเวลาที่เรายิงได้และรู้ว่าประตูนี้มันมีความสำคัญ ช่วงเวลาเหล่านี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่พวกเราจะมีร่วมกันได้ในฐานะทีม”
หากลิเวอร์พูลผ่านด่านบียาร์เรอัล แชมป์ยูโรปาลีกในฤดูกาลที่แล้ว พวกเขาจะเหลือเกม ‘นัดชิง’ อีก 6 นัดด้วยกัน และมีความหวังที่จะลุ้นแชมป์ครบทั้ง 4 รายการ ทั้งพรีเมียร์ลีก เอฟเอคัพ และแชมเปียนส์ลีก หลังจากที่จัดการคว้าแชมป์คาราบาวคัพหรือฟุตบอลลีกคัพมาได้เป็นรายการแรกในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษไม่เคยมีทีมใดที่พิชิตได้ครบทั้ง 4 รายการ (Quadruple) แบบนี้มาก่อน
เรื่องนี้หากย้อนกลับไปในช่วงต้นฤดูกาล สายเลือดสเกาเซอร์ที่แฟนลิเวอร์พัดเลียนภาคภูมิใจเคยลั่นวาจาเอาไว้ว่า ลิเวอร์พูลควรจะมีแชมป์อย่างน้อยปีละ 1 ใบ ซึ่ง ‘เทรนต์’ ก็ยังคงยืนยันคำเดิมอยู่
“ผมเคยพูดไว้ว่าในแต่ละฤดูกาลเราควรได้แชมป์ 1 รายการเป็นขั้นต่ำ และนั่นหมายถึงในฤดูกาลที่เรายังไม่ได้เล่นได้ดีที่สุดด้วย แต่ตอนนี้พวกเรากำลังเล่นกันได้ดี เวลาที่เรามองลงไปหนทางข้างหน้าและมองเห็นถ้วยรางวัลที่เหลือมากเท่าไร ยิ่งเราชนะทุกเกมที่เหลือ เราก็จะยิ่งได้เห็นถ้วยมากขึ้นเท่านั้น มันเป็นสิ่งที่เราจะพุ่งเป้าไป
“ในช่วงเวลานี้ของปีกลายเราพยายามจะหาทางกลับมาสู่ท็อปโฟร์ ตอนนี้เราอยู่ในอันดับที่ 2 เป็นรองแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต้มเดียว และเราเข้าชิงเอฟเอคัพแล้ว ผลงานแบบนี้ใครจะกล้าตำหนิอีก? นี่เป็นฤดูกาลที่พิเศษและหวังอย่างยิ่งว่าเราจะผ่านมันได้ทั้งหมด และเราจะได้อยู่ในบันทึกประวัติศาสตร์อีกครั้ง”
อ้างอิง:
- https://www.thetimes.co.uk/article/liverpool-can-make-history-one-trophy-won-t-be-enough-says-trent-alexander-arnold-p8glbt3rm
- https://www.theguardian.com/football/2022/may/02/alexander-arnold-calls-on-liverpool-to-make-history-with-quadruple-in-sight
- เมื่อ 3 ปีก่อน เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เป็นคนเปิดลูกเตะมุมเร็วให้ ดิวอค โอริกิ พังประตูสำคัญ ช่วยให้ลิเวอร์พูลถล่มบาร์เซโลนา 4-0 ที่แอนฟิลด์ ก่อนทะลุเข้าชิงและคว้าแชมป์ได้สำเร็จ
- ในฤดูกาลนี้แบ็กขวาวัย 23 ปี ลงเล่นไปแล้ว 40 นัด ทำไป 2 ประตู กับอีก 18 แอสซิสต์
- เกมที่แอนฟิลด์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บียาร์เรอัลมีโอกาสยิงเข้ากรอบแค่ 1 ครั้งเท่านั้น แต่ทางด้าน อูไน เอเมรี ยืนยันว่า เกมคืนนี้จะแตกต่างจากเดิมแน่ ซึ่งอาจเป็นเพราะ เกราร์ด โมเรโน ศูนย์หน้าตัวเก่ง จะฟิตกลับมาช่วยทีมได้อีกครั้ง
- สมญาของบียาร์เรอัลมาจากเพลง Yellow Submarine ของ The Beatles ที่ออกในปี 1966 แล้วในฤดูกาล 1967/68 ที่ทีมกำลังลุ้นเลื่อนชั้นจากเตร์เชราดิวิชัน (ดิวิชัน 3) ก็มีแฟนรุ่นหนุ่มที่นำเพลงนี้มาร้อง โดยบิดเนื้อร้องใหม่เป็น “Amarillo el Submarino es / amarillo es / amarillo es” และกลายเป็นสมญาของสโมสร