เกิดอะไรขึ้น:
เหตุกราดยิงที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้ นับถึงปัจจุบันยังไม่เห็นผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินงานกลุ่มท่องเที่ยวใน 4Q66 จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรายสัปดาห์ระหว่างวันที่ 2-8 ตุลาคม 2566 อยู่ที่ 497,966 คน ลดลง 10%WoW เพราะได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยหลังจากเกิดเหตุกราดยิงที่สยามพารากอนเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 การตรวจสอบข้อมูลกับผู้ประกอบการกลุ่มท่องเที่ยวบ่งชี้ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ
AOT (สนามบิน): จำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศระหว่างวันที่ 1-14 ตุลาคม อยู่ที่ 75% ของระดับก่อนเกิดโควิด ซึ่งลดลงเล็กน้อยจาก 76% ระหว่างวันที่ 1-7 ตุลาคม แต่ยังสูงกว่า 72% ในเดือนกันยายน
AAV (สายการบิน): ยอดจองตั๋วล่วงหน้า (ณ วันที่ 16 ตุลาคม) สำหรับเส้นทางจีนอยู่ที่ ~43% ซึ่งสูงกว่า ~40% ในสัปดาห์ก่อนหน้า และบริษัทยังคงมีแผนเพิ่มเที่ยวบินทั้งขาเข้า/ออกจากจีน
AWC, CENTEL, ERW และ MINT (ผู้ประกอบการโรงแรม): พบการยกเลิกห้องพักและการเลื่อนวันเข้าพักและอีเวนต์อยู่บ้าง แต่ไม่มีนัยสำคัญ ยอดจองห้องพักล่วงหน้าโดยรวมใน 4Q66 สูงกว่า 4Q65
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการกำลังติดตามการเร่งตัวของความต้องการเดินทางในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ซึ่งจะบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว เมื่อใช้สมมติฐานข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการในเดือนกันยายน ที่ ~2.1 ล้านคน จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยต่อเดือนในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม ควรจะอยู่ที่ ~2.6-2.8 ล้านคน เพื่อให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยในปี 2566 เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ที่ 28 ล้านคน
เมื่ออ้างอิงเหตุการณ์ในอดีต คือเหตุการณ์ระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2558 ผู้ประกอบการกลุ่มท่องเที่ยวเปิดเผยว่า การดำเนินงานใช้เวลาฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติ ~1 ไตรมาส ช่วงไฮซีซันใน 4Q58 ชะลอตัวลง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเติบโตในอัตราชะลอตัวที่ 5%YoY จากนั้นจึงฟื้นตัวกลับมามีอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งขึ้นที่ 15%YoY ใน 1Q59 อัตราการเข้าพักโรงแรมในประเทศไทย (CENTEL, ERW และ MINT) ใน 4Q58 อยู่ที่ 69-80% ค่อนข้างทรงตัวจาก 71-80% ใน 3Q58 แต่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งสู่ 81-88% ใน 1Q59
กระทบอย่างไร:
ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม ราคาหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวปรับลง 5.52%, ราคาหุ้น ERW ปรับลง 8.04% และราคาหุ้น AOT ปรับลง 4.64% ขณะที่ SET Index ปรับลง 1.40%
กลยุทธ์และคำแนะนำการลงทุน:
ราคาหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวปรับตัวลดลงเฉลี่ย 9% ใกล้เคียงกับระดับการปรับตัวลดลงมากสุดที่ 12% เมื่อครั้งที่เกิดเหตุการณ์ระเบิดในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งบ่งชี้ว่าประเด็นลบสะท้อนในราคาหุ้นมากพอสมควรแล้ว ปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นคือความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวที่ฟื้นคืนกลับมา ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นผ่านทางจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เร่งตัวขึ้นในช่วงไฮซีซันใน 4Q66-1Q67
ด้านพรีวิวผลประกอบการ 3Q66 บ่งชี้ว่าผลประกอบการจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวทุกตัวจะรายงานผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้น YoY (จากฐานต่ำ) และ QoQ (ปัจจัยฤดูกาล) ยกเว้น MINT และ AAV ที่จะรายงานผลประกอบการลดลง QoQ
ผลประกอบการปกติของ MINT คาดว่าจะลดลง QoQ โดยมีสาเหตุมาจากช่วงโลว์ซีซันในยุโรป ในขณะที่ AAV จะเป็นผู้ประกอบการที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มท่องเที่ยว เนื่องจากผลขาดทุนที่ประเมินได้นั้นสะท้อนถึงการดำเนินงานที่อ่อนแอลง เพราะถูกฉุดรั้งโดยต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินที่สูงขึ้น ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของค่าโดยสารเฉลี่ยไม่สามารถชดเชยผลกระทบดังกล่าวได้ทั้งหมด
สำหรับหุ้นเด่นของกลุ่มท่องเที่ยวคือ ERW (เรตติ้ง Outperform ราคาเป้าหมาย 6 บาทต่อหุ้น) และ AOT (เรตติ้ง Outperform ราคาเป้าหมาย 84 บาทต่อหุ้น)
ปัจจัยเสี่ยงและความกังวลที่สำคัญ คือภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค ความต้องการเดินทาง และการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการโรงแรมไม่สามารถตอบสนองความต้องการเดินทางได้อย่างทันท่วงที และต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร