×

มองปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ‘ยาเสพติด-ศูนย์สแกมเมอร์’ ภัยคุกคามความมั่นคงใหม่ ที่รัฐต้องบูรณาการ-แก้ปัญหาทุกมิติ

09.09.2025
  • LOADING...
อาชญากรรมข้ามชาติ ในงาน Thailand Security Dialogue 2025

ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ เป็นหนึ่งในประเด็นร้อนที่ถูกหยิบยกขึ้นพูดถึงในงาน Thailand Security Dialogue 2025 งานสัมมนาความมั่นคงนานาชาติ ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29-31 สิงหาคมที่ผ่านมาภายใต้หัวข้อ ภายใต้หัวข้อ “Peace and Security in a Global Disruption” 

 

เบเนดิกต์ ฮอฟฟ์มันน์ รองผู้แทนประจำภูมิภาค สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) สำนักงานประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก กรุงเทพฯ ขึ้นกล่าวในเวทีสัมมนา หัวข้อ “อาชญากรรมข้ามชาติและผลกระทบต่อความมั่นคงในภูมิภาค” ชี้ถึงปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่ปรากฏขึ้นในหลายประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน ว่าไม่ได้เป็นเพียงปัญหาการบังคับใช้กฎหมายอีกต่อไป หากแต่ถูกจัดให้เป็นภัยคุกคามความมั่นคงรูปแบบใหม่หรือ Non-Traditional Security Threat ที่กำลังส่งผลครอบคลุมหลายมิติ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม

 

ผลกระทบของอาชญากรรมเหล่านี้เริ่มจากการสร้างความไม่มั่นคงในพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงที่มีการลักลอบข้ามพรมแดนและกิจกรรมผิดกฎหมายหนาแน่น พื้นที่เหล่านี้มักเผชิญกับภาวะบกพร่องในการปกครองหรือกำกับดูแล (Governance Deficit) รัฐไม่สามารถสถาปนาอำนาจของตนได้เต็มที่ ส่งผลให้พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็น ‘Safe Haven’ ขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ

 

ผลที่ตามมาคือความเชื่อมโยงโดยตรงกับความขัดแย้งภายใน โดยเฉพาะในประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญของทั้งการผลิตยาเสพติดและกิจกรรมผิดกฎหมายอื่นๆ 

 

ความสัมพันธ์ระหว่างอาชญากรรมกับความขัดแย้งก่อให้เกิดวงจรซ้ำเติมที่ยากจะทำลาย อาชญากรรมข้ามชาติยังบ่อนทำลายเสถียรภาพสังคมในภาพรวม ดึงดูดการทุจริต คุกคามสถาบันของรัฐ และสร้างแรงกดดันต่อสังคมผ่านการแพร่ระบาดของยาเสพติดและอาชญากรรมไซเบอร์

 

ในทางเศรษฐกิจ องค์กรอาชญากรรมสามารถดูดทรัพยากรออกจากระบบเศรษฐกิจปกติและย้ายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจนอกกฎหมาย ทำให้ศักยภาพการเติบโตระยะยาวของประเทศลดลง ขณะเดียวกันยังสร้างความเสี่ยงด้านชื่อเสียงระหว่างประเทศ ประเทศที่ถูกระบุว่าเป็นแหล่งผลิตหรือศูนย์กลางการฟอกเงินมักเผชิญแรงกดดันทางการเมืองและการค้าจากนานาชาติ

 

การฟื้นตัวของฝิ่นและการระบาดของยาเสพติดสังเคราะห์

 

ปัญหายาเสพติดเป็นประเด็นสำคัญที่สะท้อนให้เห็นความท้าทายของอาชญากรรมข้ามชาติในภูมิภาค เริ่มจากการฟื้นตัวของการปลูกฝิ่นในเมียนมา ซึ่งในอดีตเคยลดลงต่อเนื่องเพราะเกษตรกรหันไปทำกิจกรรมเศรษฐกิจปกติ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการกลับมาปลูกฝิ่นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

 

ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมืองในเมียนมา รวมถึงการที่อัฟกานิสถานซึ่งเคยเป็นผู้ผลิตฝิ่นรายใหญ่ของโลก ลดการผลิตลงอย่างมาก ทำให้ตลาดโลกขาดแคลนและหันมาพึ่งพาแหล่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือการแพร่ระบาดของยาเสพติดสังเคราะห์ โดยเฉพาะเมทแอมเฟตามีน (Methamphetamine) หรือยาบ้า

 

ข้อมูลปี 2024 พบว่าประเทศในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการยึดยาบ้ามากถึง 236 ตัน เพิ่มขึ้นถึง 25% จากปีก่อนหน้า และกว่าร้อยละ 85 ของปริมาณทั้งหมดถูกยึดใน 5 ประเทศลุ่มน้ำโขง

 

โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการจับกุมมากที่สุด แม้จะดูเหมือนเป็นความสำเร็จของการบังคับใช้กฎหมาย แต่ราคายาบ้ากลับลดลงทั้งในระดับขายส่งและราคาตามท้องถนน ในบางส่วนของภูมิภาค มีราคาถูกกว่าเบียร์กระป๋อง ซึ่งสะท้อนถึงภาวะการผลิตยาบ้าที่ ‘ล้นตลาด (Oversupply)’ ที่ยังคงดำเนินต่อไป

 

การลักลอบขนส่งยาบ้าก็มีความซับซ้อนมากขึ้น แม้เส้นทางหลักยังคงมาจากเมียนมาเข้าสู่ภาคเหนือของไทย แต่เมื่อการกดดันจากไทยเข้มงวดขึ้น ผู้ค้ายาเสพติดได้ปรับเปลี่ยนเส้นทาง โดยหันไปลักลอบขนส่งผ่านลาวและกัมพูชา ก่อนจะส่งออกทางทะเลในอ่าวไทย อีกทั้งยังพบการขยายเส้นทางไปยังอินเดียและต่อไปยังตลาดโลก

 

กรณีของกัมพูชาถูกยกเป็นตัวอย่างสำคัญ เพราะการยึดยาบ้าในประเทศนั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่เส้นทางขนส่งยาเสพติดบริเวณชายแดนไทยเริ่มถูกปิดกั้น

 

แรงจูงใจทางเศรษฐกิจของอาชญากรยิ่งตอกย้ำความรุนแรงของปัญหา ยาบ้าที่ผลิตในรัฐฉานของเมียนมามีราคาถูก แต่เมื่อข้ามพรมแดนมาในไทย ราคาสูงขึ้นถึงสิบเท่า และเมื่อไปถึงตลาดออสเตรเลีย ราคาพุ่งสูงกว่า 400 เท่า กลไกการทำกำไรนี้ทำให้กลุ่มอาชญากรรมมีแรงจูงใจอย่างมหาศาลในการรักษาเครือข่ายและหาวิธีใหม่ ๆ ในการหลีกเลี่ยงการตรวจจับ

 

สิ่งที่น่าสนใจคือกลุ่มผู้ผลิตยาเสพติดได้ปรับกลยุทธ์โดยไม่พึ่งพาสารตั้งต้นที่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด เช่น Ephedrine หรือ Pseudoephedrine แต่หันมาใช้สารเคมีทั่วไปที่ไม่ถูกควบคุม แล้วนำไปแปรสภาพเป็นสารตั้งต้น วิธีการนี้ทำให้การตรวจสอบและควบคุมสารเคมีมีความซับซ้อนขึ้น และเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานระดับโลกของอุตสาหกรรมเคมีในเอเชีย

 

Scam Centers อาชญากรรมที่โตไวและปรับตัว

 

ศูนย์สแกมเมอร์ (Scam Centers) หรือศูนย์หลอกลวงออนไลน์ เป็นอีกหนึ่งรูปแบบอาชญากรรมที่กำลังแพร่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในภูมิภาค

 

ปรากฏการณ์นี้มี 2 แนวโน้มที่ขัดแย้งกัน ในด้านหนึ่งมีการรวมศูนย์ขนาดใหญ่ที่มีโครงสร้างถาวร เช่น คอมเพล็กซ์อย่าง KK Park และ Shwekoko ใกล้เมืองเมียวดี ซึ่งขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีการปรับตัวไปสู่รูปแบบที่คล่องตัวกว่า โดยตั้งเป็นศูนย์ขนาดเล็กหรือกลุ่มปฏิบัติการย่อย ในประเทศที่มีการปราบปรามเข้มงวด เช่น ไทยและฟิลิปปินส์

 

ความพยายามในการตัดการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การปิดกั้นอินเทอร์เน็ตหรือไฟฟ้า กลับไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากองค์กรอาชญากรรมสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว มีการใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม รวมถึงสร้างระบบผลิตไฟฟ้าเอง ทำให้ศูนย์อาชญากรรมเหล่านี้ยังดำเนินกิจการต่อไปได้โดยแทบไม่สะดุด

 

สิ่งที่น่ากังวลมากกว่าคือการที่ศูนย์สแกมเมอร์ ไม่ได้ทำงานแบบแยกส่วนอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นศูนย์กลางของ ‘บริการอาชญากรรม’ ที่ครอบคลุมหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการฟอกเงิน การซื้อขายข้อมูลในตลาดมืด การเช่าบริการด้านอาชญากรรมไซเบอร์ หรือแม้แต่การจัดหาบริการเฉพาะทางสำหรับการดำเนินอาชญากรรมขั้นสูง ตัวอย่างที่ถูกกล่าวถึงคือ HuiOne Guarantee ในกัมพูชา ซึ่งกลายเป็นแพลตฟอร์มตลาดซื้อขายออนไลน์สำหรับอาชญากร ที่ต้องการเทคโนโลยี ข้อมูลส่วนบุคคล และบริการฟอกเงินผ่านคริปโทเคอร์เรนซี

 

ลักษณะดังกล่าวทำให้ศูนย์สแกมเมอร์ พัฒนาเป็น ecosystem ที่คล้ายกับกลไกทุนนิยม มีผู้ลงทุนที่มีเงินทุนแต่ไม่มีความรู้จับมือกับผู้ที่มีทักษะทางเทคนิคแต่ขาดทุน ส่งผลให้กิจการสามารถขยายตัวได้รวดเร็วและมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง

 

ไทม์ไลน์ 15 ปี Scam Centers

 

ด้าน เจสัน ทาวเวอร์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของโครงการริเริ่มระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ (Global Initiative against Transnational Organized Crime : GI-TOC) ขึ้นกล่าวบนเวทีเดียวกัน โดยชี้ถึงปัญหาศูนย์หลอกลวงออนไลน์ว่ามีจุดเริ่มต้นย้อนไปเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เริ่มจากแก๊งอาชญากรจีนที่ย้ายมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อดำเนินการแพลตฟอร์มพนันออนไลน์ที่พุ่งเป้าชาวจีนเป็นหลัก ก่อนจะขยายตัวอย่างรวดเร็วในฟิลิปปินส์ กัมพูชาและตอนเหนือของเมียนมา โดยในช่วงปี 2015-2016 คาดว่ามีชาวจีนราว 3-5 แสนคน ที่ทำงานในขบวนการอาชญากรรมที่ให้บริการแพลตฟอร์มพนันออนไลน์ ซึ่งเพิ่มเป็นนับหมื่นแห่งในปี 2017

 

การใช้เทคโนโลยี ทั้งโซเชียลมีเดียเพื่อล่อลวงคนมาเล่นพนันออนไลน์และฟอกเงินหลบเลี่ยงการปราบปรามของทางการจีน ผ่านเทคโนโลยี Blockchain อย่างคริปโทเคอร์เรนซี ทำให้ขบวนการอาชญากรรมเหล่านี้มีความเชี่ยวชาญ และเริ่มพัฒนา ปรับเปลี่ยนรูปแบบดำเนินการมาเป็นการหลอกลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี และการหลอกลวงออนไลน์ (Online Scam) หลังจากที่แพลตฟอร์มพนันออนไลน์เพิ่มขึ้นจำนวนมาก ทำให้การแข่งขันรุนแรงมากขึ้น

 

ทาวเวอร์ กล่าวว่าผลการดำเนินการของขบวนการอาชญากรรมในช่วงนั้น ที่แม้จะยังไม่แพร่กระจายและส่งผลกระทบไปทั่วโลกโดยมีเหยื่อหลักๆ เป็นชาวจีน แต่ก็สามารถทำเงินได้หลายพันล้านดอลลาร์ 

 

การมาของวิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้ชาวจีนจำนวนมากต้องเดินทางกลับประเทศ ส่งผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานในขบวนการ จนทำให้เริ่มมีการบังคับค้ามนุษย์ หรือที่เรียกว่า Cyber Slave ทั้งลักพาตัวและล่อลวงคนมายังศูนย์สแกมเมอร์เพื่อบังคับให้ทำงาน

 

ขณะที่การแบนคริปโทเคอร์เรนซีของจีน ส่งผลให้การดำเนินการของขบวนการอาชญากรรมเหล่านี้ขยายไปหาเหยื่อจากทั่วโลก โดยปัจจุบันมีผู้คนมากกว่า 110 ประเทศที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการหลอกลวงออนไลน์ และมีผู้คนจาก 77 ประเทศที่ถูกบังคับค้ามนุษย์ในศูนย์สแกมเมอร์ ในหลายประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

 

ตัวอย่างเช่น ที่เมืองเมียวดี ซึ่งมี ศูนย์สแกมเมอร์ขนาดใหญ่หลายแห่ง รวมถึงชเวโก๊กโก่ และ KK Park พบว่ามีเหยื่อที่ถูกบังคับค้ามนุษย์มาจากกว่า 40 ประเทศ โดยขบวนการอาชญากรรมบางกลุ่มมีการตั้งบริษัทรักษาความปลอดภัยของตนเองเพื่อปกป้องศูนย์สแกมเมอร์เหล่านี้ และบางศูนย์ถึงขนาดมีการทำแพลตฟอร์มชำระเงินของตนเอง เช่น กลุ่มย่าไท่ (Yatai) ที่ดำเนินการเมืองชเวโก๊กโก่ มีการพัฒนา Yatai Pay เพื่อใช้ในการฟอกเงินจากคริปโทเคอร์เรนซี เป็นสกุลเงินต่างๆ ทั่วโลก

 

ผลกระทบเชิงระบบต่อสังคมและเศรษฐกิจ

 

ผลกระทบของอาชญากรรมข้ามชาติมิได้จำกัดอยู่เพียงปัญหายาเสพติดหรือการหลอกลวงทางออนไลน์ หากแต่กระทบต่อเสถียรภาพสังคมและเศรษฐกิจในวงกว้าง

 

การแพร่ระบาดของยาเสพติดราคาถูก เช่น ยาบ้า ทำให้เยาวชนและกลุ่มประชากรฐานรากเข้าถึงได้ง่ายขึ้น นำไปสู่ปัญหาสุขภาพและการเสื่อมถอยของทุนมนุษย์ อีกทั้งยังสร้างแรงกดดันต่อครอบครัวและชุมชน

 

ในด้านการเมืองและการปกครอง พื้นที่ชายแดนที่กลายเป็นแหล่งอาชญากรรมสะท้อนถึงการล้มเหลวของรัฐในการปกครอง ซึ่งทำให้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลลดลง

 

ในทางเศรษฐกิจ เครือข่ายอาชญากรรมสามารถแทรกซึมเข้าไปในระบบเศรษฐกิจปกติ ดูดทรัพยากรออกไปจากการลงทุนที่สร้างคุณค่าแท้จริง และแทนที่ด้วยกำไรจากกิจกรรมเถื่อน ส่งผลกระทบต่อศักยภาพการเติบโตระยะยาว

 

นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงด้านชื่อเสียงต่อประเทศที่เกี่ยวข้อง เมื่อประเทศถูกมองว่าเป็นฐานการผลิตหรือศูนย์กลางฟอกเงิน ย่อมส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางการทูต การค้า และการลงทุน อาจถูกกีดกันหรือถูกใช้เป็นเหตุผลในการแทรกแซงจากต่างชาติ

 

แนวทางการตอบสนองและบทเรียนสำหรับภูมิภาค

 

เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนนี้ จำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีคิดจากการมองว่าเป็นเพียงปัญหาของการบังคับใช้กฎหมาย ไปสู่การจัดการเชิงโครงสร้างอย่างรอบด้าน โดยประเทศต่างๆ ต้องบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานด้านสังคมและเศรษฐกิจ

 

ตัวอย่างของไทยซึ่งสามารถลดการลักลอบขนส่งยาเสพติดเข้าสู่ภาคเหนือได้อย่างมาก เกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานด้านความมั่นคงหลายฝ่ายที่ทำงานร่วมกัน

 

การตอบสนองยังต้องอาศัยข่าวกรองเป็นฐาน เนื่องจากเครือข่ายอาชญากรรมมีความซับซ้อนและสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ รัฐต้องหันมาแก้ไขปัญหาความบกพร่องในการกำกับดูแลพื้นที่ชายแดน ซึ่งเป็นรากฐานของปัญหา 

 

โดยหากรัฐยังไม่สามารถสร้างเสถียรภาพการปกครองและดูแลพื้นที่เหล่านี้ได้ ปัญหาอาชญากรรมก็จะยังคง ‘ดำเนินต่อไป’

 

ที่สำคัญที่สุดคือความร่วมมือระหว่างประเทศ การแก้ปัญหาต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง และการปฏิบัติการร่วมกันในระดับภูมิภาคและระดับโลก

 

ภาพรวมทั้งหมดสะท้อนว่า อาชญากรรมข้ามชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้พัฒนาเข้าสู่ยุคใหม่ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ทั้งด้านยาเสพติดและ Scam Centers ซึ่งไม่เพียงสร้างปัญหาสังคมและเศรษฐกิจ แต่ยังบ่อนทำลายเสถียรภาพของรัฐและความมั่นคงภูมิภาค การตอบสนองจำเป็นต้องอาศัยแนวทางแบบบูรณาการ ที่ครอบคลุมทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ การเมือง และสังคม เพื่อให้ภูมิภาคสามารถรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่นี้ได้อย่างยั่งยืน

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising