×

หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว – จีนเลิกกักตัวคนเข้าประเทศ เริ่ม 8 มกราคม 2566 เป็นบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยว

28.12.2022
  • LOADING...

เกิดอะไรขึ้น:

รัฐบาลจีนประกาศในช่วงค่ำของวันจันทร์ที่ผ่านมา (26 ธันวาคม) ว่าผู้ที่เดินทางเข้าจีนไม่ต้องกักตัวอีกต่อไป โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2566 พร้อมทั้งยังได้ผ่อนคลายระดับการจัดการกับโรคโควิดจากระดับสูงสุดมาเป็นระดับรองสูงสุด เป็นประเด็นบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยว

 

ซึ่งพัฒนาการเปิดประเทศจีนและการอนุญาตให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางออกนอกประเทศได้เร็วกว่าที่คาดไว้ว่าจะเกิดขึ้นใน 2Q66 

 

อย่างไรก็ดี InnovestX Research ยังคงประมาณการไว้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา 25 ล้านคนในปี 2566 (63% ของระดับก่อนเกิดโควิด) โดยใช้สมมติฐานนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะใกล้ (Short-Haul) จะคิดเป็นสัดส่วน 49% ของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาทั้งหมด ตามมาด้วยตลาดระยะไกล (Long Haul) ที่ 31% และจีนที่ 20% (หรือ 5 ล้านคน)

 

กระทบอย่างไร:

ราคาหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว (SETTOURISM) ปรับเพิ่มขึ้น 2.50%, AOT ปรับเพิ่มขึ้น 2.03% สู่ระดับ 75.25 บาท, ERW ปรับเพิ่มขึ้น 1.79% สู่ระดับ 4.56 บาท และ MINT ปรับเพิ่มขึ้น 3.17% สู่ระดับ 32.50 บาท ขณะที่ SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 1.24% สู่ระดับ 1,646.94 จุด (ตั้งแต่วันจันทร์ถึงปัจจุบัน)

 

มุมมองและกลยุทธ์การลงทุน:

ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวปรับตัวขึ้นมาและให้ผลตอบแทนมากกว่าตลาด สะท้อนว่ามุมมองเชิงบวกที่ตลาดมีต่อการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทยสะท้อนในราคาหุ้นบ้างแล้ว อย่างไรก็ดี มองระมัดระวังในหุ้นที่ปรับตัวมาแรงเหนือระดับก่อนเกิดโควิดมาก เช่น CENTEL AAV และ BA

 

InnovestX Research เลือกหุ้นเด่นสำหรับกลุ่มท่องที่ยว คือ AOT (ราคาเป้าหมาย 82 บาทต่อหุ้น) ERW (ราคาเป้าหมาย 5 บาทต่อหุ้น) และ MINT (ราคาเป้าหมาย 38 บาทต่อหุ้น) จากราคาหุ้นที่ยังปรับตัวขึ้นน้อยกว่ากลุ่มและมีอัปไซด์เมื่อเทียบกับราคาเป้าหมาย โดยเชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งขึ้นจากการฟื้นตัวของผลประกอบการและความคืบหน้าเกี่ยวกับการกลับมาเปิดประเทศของจีนจะช่วยสนับสนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นต่อได้

 

ส่วนปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม คือภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความต้องการเดินทางและต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising