×

เกิดอะไรขึ้นกับ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์?

03.10.2019
  • LOADING...
Tottenham Hotspur

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • ผลการแข่งที่ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ถูกบาเยิร์น มิวนิก บุกมาชนะด้วยสกอร์ 7-2 ถือเป็นความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับที่สุดในบ้านในรอบ 134 ปีของสโมสร
  • หากนับตั้งแต่ช่วงเปิดฤดูกาลจนถึงวันนี้ สเปอร์สออกสตาร์ทได้ไม่ดี หลังจากลงเล่นเกมลีก 7 นัด ชนะแค่ 3 เสมอ 2 และแพ้ 2 ขณะที่ในบอลถ้วยลีกคัพก็ตกรอบด้วยน้ำมือทีมรองบ่อนอย่างโคลเชสเตอร์

สิ่งที่เกิดขึ้นในสนามท็อตแนม ฮอตสเปอร์ สเตเดียม หลังสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้ายในเกมกับบาเยิร์น มิวนิก เป็นสิ่งที่อยู่คนละด้านของภาพฝันในวันที่มีการเปิดใช้สนามแห่งนี้ครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิงครับ

 

ในวันนั้น ถึงจะไม่ใช่สาวก ‘ไก่เดือยทอง’ อะไรกับเขา แต่ประสาคนรักเกมลูกหนัง ภาพของสนามแข่งแห่งใหม่ที่แสนยิ่งใหญ่ ผ่านการออกแบบมาดี ทั้งหรูหรา สง่างาม และสัมผัสได้ถึงอัตลักษณ์ตัวตนของสเปอร์ส เห็นแล้วขอบตายังแอบอุ่นๆ

 

ขนาดผมยังรู้สึกขนาดนี้ นับประสาอะไรกับชาวสเปอร์สที่เขาอดทนรอคอยสนามแห่งนี้ที่เลื่อนการเปิดใช้งานมาอย่างยาวนานเกือบปี หลายคนน้ำตาไหลแบบไม่รู้ตัว

 

ความรู้สึก ณ เข็มนาฬิกานั้นมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ครับ มันคือช่วงเวลาของความสุขและความหวัง นี่คือสนามที่ทุกคนเชื่อว่าจะนำสเปอร์สให้ก้าวขึ้นมาเป็นทีมระดับท็อปของโลกได้จริงๆ หลังจากที่ทำได้เพียงแค่ ‘เกือบ’ ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา

 

แต่สิ่งที่ฝันนั้นดูเหมือนจะกลับเป็นตรงกันข้าม เมื่อพวกเขาพ่ายแพ้อย่างย่อยยับที่สุดในบ้านในรอบ 134 ปีของสโมสรด้วยการโดนบาเยิร์น มิวนิก บุกมาถล่มด้วยสกอร์ที่แทบไม่อยากเชื่อสายตาถึง 7-2 

 

Tottenham Hotspur

 

ที่แสบกว่านั้นคือ 4 จาก 7 ลูกมาจากการทำประตูของ ‘แซร์ช นาบรี’ ไอ้หนูที่เคยเป็นตัวดาวรุ่งของอาร์เซนอลที่แม้จะไม่เคยแจ้งเกิดกับกันเนอร์สได้ แต่ผลงานในเกมนี้ทำให้เขากลายเป็นตำนานของชาวกันเนอร์สไปเรียบร้อยแล้ว

 

อย่างไรก็ดี สกอร์ที่เหมือนหายนะในเกมนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่าเป็นกังวลมากที่สุดแต่อย่างใดครับ เพราะในเกมระดับสูงแบบนี้ รายละเอียดในเกมแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถนำไปสู่ผลการแข่งขันที่น่าตื่นตะลึง ซึ่งเราก็เคยได้เห็นกันบ่อยๆ เหมือนที่บาร์เซโลนาเคยถล่มปารีส แซงต์ แชร์กแมง 6-1, ลิเวอร์พูลถล่มบาร์เซโลนา 4-0 หรือเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน เรดบูล ซาลซ์บูร์กก็ถล่มเกงค์ขาดลอยถึง 6-2

 

สิ่งที่น่าเป็นกังวลกว่ามากสำหรับสเปอร์สคือผลงานโดยรวมในฤดูกาลนี้ของพวกเขาที่นอกจากจะไม่มีพัฒนาการในเชิงบวกแล้ว ผลงานของทีมก็ตกต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะในเกมลีก 7 นัด ชนะแค่ 3 เสมอ 2 และแพ้ 2 ขณะที่ในบอลถ้วยลีกคัพก็ตกรอบด้วยน้ำมือทีมรองบ่อนอย่างโคลเชสเตอร์

 

เกิดอะไรขึ้นกับทีมที่เคยเป็นแม่แบบของสโมสรฟุตบอลสมัยใหม่ในแนวทางของการบริหารจัดการทั้งเรื่องในและนอกสนาม

 

แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้มันยังพอรักษาให้ทุกอย่างกลับมาดีเหมือนเดิมได้ หรือมันคือแก้วที่แตกแล้วไม่มีวันกลับมาเป็นเนื้อเดียวกันเหมือนเดิมได้อีก

 

แล้วสเปอร์สจะก้าวจากการเป็น ‘ทีมที่ดี’ ไปสู่การเป็น ‘ทีมที่ดีที่สุด’ ได้ไหม

 

ผมขออนุญาตไล่ไปทีละเรื่องนะครับ

 

Tottenham Hotspur

 

1. การพัฒนาทีมที่หยุดชะงัก

ฤดูกาลที่ดีที่สุดของสเปอร์สในการนำของ เมาริซิโอ โปเชตติโน คือฤดูกาล 2016-17 ในฤดูกาลนั้นพวกเขาเป็นรองแชมป์ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นแชมป์) โดยทำผลงานได้ดีกว่าในฤดูกาลก่อนหน้าที่แผ่วปลายปล่อยให้เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์แบบปาฏิหาริย์และจบด้วยการเป็นที่ 3 ปล่อยให้อาร์เซนอลคว้ารองแชมป์ไปครองแบบงงๆ

 

ในเวลานั้น สเปอร์สเป็นทีมที่โดดเด่นในหลายด้านไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบการเล่นที่แข็งแกร่ง ทีมเวิร์กที่ยอดเยี่ยม ขุมกำลังที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะแนวรุกที่ประกอบไปด้วย แฮร์รี เคน, เดเล อัลลี, คริสเตียน อีริกเซน และซนฮึงมิน

 

เราเชื่อกันว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป สเปอร์สจะต้องก้าวมาจุดสูงสุดกับการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ในสักวันอย่างแน่นอน

 

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นตรงข้ามครับ เมื่อสเปอร์สไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดิม พวกเขาจบฤดูกาลด้วยการเป็นทีมอันดับ 3 ในฤดูกาล 2017-18 ซึ่งเป็นอีกครั้งที่พวกเขาไม่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งในการแย่งแชมป์กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ปล่อยให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้รองแชมป์ไปครอง

 

และในฤดูกาลที่ผ่านมา 2018-19 พวกเขาจบด้วยการเป็นทีมอันดับที่ 4 ตามหลังแชมป์อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และลิเวอร์พูล รองแชมป์ไกลถึง 27 และ 26 แต้มตามลำดับ

 

หนึ่งในสาเหตุของการที่ทำให้นอกจากทีมจะไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าแต่ยังเดินถอยหลังกลับมาเกิดจากเรื่องของการขาดการพัฒนาในทีมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับทัพเสริมทีมที่นับตั้งแต่ฤดูกาล 2016-17 เป็นต้นมาก็แทบไม่มีการซื้อผู้เล่นในแบบ ‘บิ๊กเนม’ เข้ามาเสริมทัพเลย

 

โดยเฉพาะสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือการที่พวกเขาไม่ซื้อผู้เล่นคนไหนเข้ามาเสริมทีมเลยในฤดูกาล 2018-19 ทั้ง 2 ช่วงตลาดการซื้อขาย ซึ่งเป็นเหมือน 1 ปีที่ว่างเปล่า

 

ผู้เล่นหลักของสเปอร์สในเวลานี้ก็ยังเป็นผู้เล่นชุดเดิมกับเมื่อ 3-4 ปีที่แล้วคือ แยน แฟร์ตองเกน, อีริกเซน, ซน, อัลลี (ที่ปัจจุบันยังเรียกฟอร์มเก่ากลับมาไม่ได้เลย) และเคนที่เป็นคนแบกทีมเอาไว้บนสองบ่ามาเป็นระยะเวลานาน

 

นักเตะที่เสริมเข้ามาอย่าง เดวินสัน ซานเชซ, ฮวน ฟอยธ์, แซร์ช ออริเยร์, เฟร์นานโด ยอเรนเต, วิกเตอร์ วานยามา, วินเซนต์ ยานส์เซน, มุสซา ซิสโซโก ฯลฯ ไม่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นคีย์แมนที่ทำให้ทีมก้าวไปข้างหน้าได้ คนเดียวที่พอจะสร้างผลกระทบในทางบวกได้คือ ลูคัส มูรา แต่น่าเสียดายที่ดาวเตะบราซิลก็ไม่ใช่ตัวหลักของทีมอยู่ดี

 

สำหรับฤดูกาลนี้ แม้ว่าจะมีการเสริมด้วยผู้เล่นที่ดูดีอย่าง ตองกีย์ เอ็นดอมเบเล, ไรอัน เซสเซยง หรือโจวานนี โล เซลโซ แต่ก็มีแค่รายแรกรายเดียวที่ช่วยทีมได้บ้างในเวลานี้

 

สเปอร์สจึงแทบไม่มีอะไรแตกต่างหรือมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนจากเดิมเลย ในขณะที่หากคู่แข่งไม่ปรับทัพเสริมทีมก็มีการปรับระบบการเล่นใหม่ให้ทันสมัย มีการอัปเกรดเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเล็กหรือน้อยก็ตาม

 

Tottenham Hotspur

 

2. ความไม่ชัดเจน

หนึ่งในปัญหาคลาสสิกของทีมที่ไม่ได้เป็นทีมระดับท็อปแต่ดั้งเดิมแล้วได้ขึ้นมาเป็นทีมระดับชั้นนำ คือการที่พวกเขาจะต้องเจอปัญหาการไหลออกของขุมกำลังคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้เล่นหรือแม้แต่ผู้จัดการทีมเองก็ตาม

 

สเปอร์สเป็นหนึ่งในสโมสรที่เจอเรื่องนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา

 

ไม่นานมานี้ เมาริซิโอ โปเชตติโน เคยเปรยว่าในทุกช่วงปิดฤดูกาล สิ่งที่เขาต้องเจอเป็นประจำคือโทรศัพท์จากผู้เล่นหรือตัวแทนของผู้เล่นที่โทรมาแจ้งว่าต้องการที่จะย้ายออกจากสเปอร์ส เพราะมีทีมที่ใหญ่กว่าให้ความสนใจ

 

โปเชตติโนไม่ได้เอ่ยชื่อผู้เล่นเหล่านั้นออกมาครับ แต่เราก็พอจะเดากันได้ว่าคือกลุ่มสตาร์ของสโมสรอย่าง เคน, ซน, อัลลี และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เปิดไพ่ว่าเขาต้องการจะย้ายออกจากทีมแบบชัดเจนอย่างอีริกเซน

 

ไม่นับการที่สเปอร์สปล่อยให้ทีมตกอยู่ในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงต่อการแพแตกด้วยการปล่อยให้ 3 ผู้เล่นหลักอย่าง อีริกเซน, แฟร์ตองเกน และโทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ เหลือสัญญาแค่สิ้นสุดฤดูกาลนี้ ท่ามกลางกระแสข่าวว่าทั้งหมดจะย้ายออกจากทีม รวมถึงตัวของโปเชตติโนและสตาร์หมายเลขหนึ่งอย่างเคน 

 

ข่าวเล่าข่าวลือเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศในทีมดีครับ ซึ่งสิ่งที่แย่กว่านั้นคือการที่นายใหญ่อย่างโปเชตติโนเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เป็นข่าวด้วย และเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดความไม่ชัดเจนขึ้นภายในสโมสร

 

การที่องค์กรใดจะก้าวเดินต่อไปได้ ทุกอย่างต้องชัดเจนตั้งแต่ทิศทาง นโยบาย ไปจนถึงคนทำงานที่ต้องมองเห็นสิ่งเดียวกัน

 

สเปอร์สในเวลานี้ไม่ได้มีความรู้สึกแบบนี้อยู่เลยครับ ซึ่งแตกต่างจากทีมคู่รักคู่แค้นอย่างอาร์เซนอลที่ผลงานเองก็ไม่ได้ดูดีอะไรมากมายนัก แต่อย่างน้อยหลังการได้ผู้อำนวยการสโมสรอย่าง เอดู เข้ามา พวกเขาก็ดูจะก้าวเดินอย่างมีทิศทางมากขึ้นและมองเห็นเป้าหมายอยู่ปลายสายตา

 

Tottenham Hotspur

 

3. ความทะเยอทะยานที่ไม่เท่ากัน

ปัญหาข้อที่ 1 และ 2 มาจากการกำหนดทิศทางของฝ่ายบริหารสโมสรที่นำโดย แดเนียล เลวี ประธานสโมสรที่มีแนวทางในการทำงานที่ค่อนข้างชัดเจน

 

เลวีเป็นประธานสโมสรที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการเจรจาต่อรองที่เคี่ยว ไม่ยอมให้สเปอร์สเสียเปรียบแม้แต่น้อย ซึ่งด้านหนึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี แต่อีกด้านหนึ่งนั้นหมายถึงการทำงานของเขาจะขาดความยืดหยุ่นตามสถานการณ์พอสมควร

 

นั่นทำให้คนทำงานอย่างโปเชตติโนมีอาการน้อยอกน้อยใจแบบไม่ต้องเอ่ยปากให้เห็นบ่อยครั้ง และทำให้เกิดคำถามว่าตกลงแล้วใครที่มีความทะเยอทะยานในการจะทำให้สเปอร์สก้าวไปข้างหน้ามากกว่ากัน

 

ระหว่างเลวีหรือโปเชตติโน?

 

ความจริงแล้วเลวีก็ไม่ใช่ประธานสโมสรที่เลวร้ายหรือไม่มีความทะเยอทะยาน ในทางตรงกันข้าม เขาคือคนที่ทำให้สเปอร์สก้าวจากการเป็นทีมกลางๆ ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้จากในวันที่รับตำแหน่งเมื่อปี 2001 กลายมาเป็นทีม Top 4 ของอังกฤษ และปัจจุบันก็ยังเป็นทีมระดับ Top 6 อยู่

 

เลวียังมีส่วนสำคัญในการวางรากฐานสโมสรด้วยการสร้างสนามซ้อมแห่งใหม่ ซึ่งเปิดใช้เมื่อปี 2012 และล่าสุดกับผลงานชิ้นเอกในการสร้างสนามใหม่ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ สเตเดียม

 

ถ้าเปรียบไปแล้ว การทำงานของเลวีอาจเหมือนกับการปลูกดอกไม้ที่ค่อยๆ ดูแลประคบประหงม และหวังว่าสักวันหนึ่งมันจะผลิดอกที่สวยงามออกมาให้เห็น

 

เพียงแต่คนเราอดทนไม่เท่ากัน และไม่ใช่ทุกคนจะมองเห็นภาพเดียวกันเสมอไป

 

สิ่งสำคัญอาจอยู่ที่การปรับความเข้าใจ

 

Tottenham Hotspur

 

4. การแล้งไร้ความสำเร็จ

อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้สเปอร์สไม่สามารถก้าวไปอีกขั้นได้คือการที่พวกเขาไม่มีสิ่งที่ประสบความสำเร็จที่เป็นชิ้นเป็นอันเลยแม้แต่รายการเดียวนับตั้งแต่โปเชตติโนเข้ามาคุมทีม

 

ดีที่สุดคือรองแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเมื่อฤดูกาลที่แล้ว, รองแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2017-18 และรองแชมป์ลีกคัพในฤดูกาลแรกของผู้จัดการทีมชาวอาร์เจนไตน์เมื่อฤดูกาล 2014-15

 

แม้ความสำเร็จในเกมฟุตบอลอาจไม่ได้วัดที่ถ้วยรางวัลอย่างเดียว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันสำคัญต่อใจ

 

สำหรับทีมที่ดูดีไปเสียทุกอย่าง แต่การที่ไม่มีความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมอย่างถ้วยแชมป์สามารถทำให้ทีมนั้นประสบปัญหาในระยะยาวได้ เหมือนที่อาร์เซนอลเคยเผชิญช่วงเวลาแบบนี้มาแล้วในช่วงกลางถึงปลายยุคของ อาร์เซน เวนเกอร์

 

การที่ไปไม่ถึงแชมป์สักทีทำให้พวกเขามีคำถามกับตัวเองและกับทีม และมันจะเป็นคำถามที่ไม่มีวันหาคำตอบได้นอกจากจะไปถึงแชมป์

 

บางทีหากทีมที่ได้ชูถ้วยแชมเปียนส์ลีกเมื่อปลายฤดูกาลที่แล้วไม่ใช่ลิเวอร์พูล แต่เป็นสเปอร์ส สถานการณ์ระหว่างสองทีมนี้อาจจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงก็เป็นได้

 

เหมือนที่ เจอร์เกน คล็อปป์ กล่าวหลังได้รับรางวัลโค้ชแห่งปีในงานประกาศรางวัล FIFA Awards ว่าการที่เขาได้มายืนบนเวทีก็เพียงเพราะเขาเป็นผู้ชนะในเกมวันนั้นก็เท่านั้น

 

ถ้าได้แชมป์สักรายการ สเปอร์สอาจจะปลดเปลื้องตัวเองจากพันธนาการทางจิตใจและไปได้ไกลอย่างที่ใจต้องการ

 

ว่าแต่สเปอร์สยังเหลือช่วงเวลาดีๆ อีกมากน้อยแค่ไหน 

 

เรื่องนี้ยากจะหยั่งถึงครับ แต่จากสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ ดูเหมือนว่าทุกสิ่งดีๆ ที่พวกเขากำลังสร้างร่วมกันมากำลังจะจบลงในเวลาอันใกล้

 

ในวงเล็บว่าถ้าพวกเขาเลือกจะปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปแบบนี้นะครับ

 

แต่หากสมมติว่าสเปอร์สสามารถแก้ปัญหาภายในทีมได้ โดยเฉพาะเรื่องของความชัดเจนไม่ชัดเจนของผู้เล่นและผู้จัดการทีมว่าใครจะอยู่ใครจะไปบ้าง และเรียกความมุ่งมั่นร้อนแรงกลับมาได้ ก็ยังไม่มีอะไรที่สายเกินไป

 

เราเชื่อกันว่าไม่มีทีมใดที่ดีหรือแย่ภายในชั่วระยะเวลาข้ามคืน

 

สำหรับผมยังมองสเปอร์สเป็นทีมที่ดีอยู่ และดีกว่าหลายๆ ทีมด้วย ขอแค่ตอบคำถามบางอย่างในใจให้ได้เท่านั้น ตั้งใจเล่นให้มากกว่าที่ผ่านมา พวกเขาน่าจะกลับมาได้

 

แต่ก็อยู่ที่โปเชตติโนและลูกทีมครับว่าจะเอาด้วยไหม

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X