ในยุคของ Artificial Intelligence หรือ AI ที่งานประจำเริ่มสั่นคลอน การปลดคนเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในหลายบริษัท และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อในอนาคต การมีงานเดียวอาจไม่ใช่ความมั่นคงสำหรับใครหลายคนอีกต่อไป การหางานเสริม เช่น Freelance หรือ การเปิดธุรกิจส่วนตัวควบคู่ไปด้วยเป็นงานที่สอง สาม สี่ อาจเป็นคำตอบ
Shopify แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซครบวงจร ได้รวบรวมข้อมูลของธุรกิจ (กำไรงาม) ประจำปี 2025 ที่น่าริเริ่มสำหรับผู้ประกอบการ โดยอ้างอิงจากต้นทุน และกลยุทธ์สำหรับการทำธุรกิจที่จะสามารถสร้างกำไรได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
โดยแยกออกเป็น 5 หมวดหมู่ ได้แก่ ธุรกิจออนไลน์และดิจิทัล, ธุรกิจบริการ, ธุรกิจด้านคอนเทนต์และการสร้างสรรค์, ธุรกิจการซื้อขายแลกเปลี่ยน-ความสามารถเฉพาะทาง และ ธุรกิจที่เป็นโอกาสใหม่
ในบทความนี้ทางทีมงาน THE STANDARD WEALTH จะพาไปสำรวจไอเดียทางธุรกิจ (กำไรงาม) ที่น่าใช้สำหรับการริเริ่มในปี 2025
1.ธุรกิจออนไลน์และดิจิทัล (Online & Digital)
- พัฒนาด้านเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์
หมวดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ในสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนหลักในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยมีการคาดการณ์มูลค่าตลาดว่าจะแตะ 7.43 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 23 ล้านล้านบาท ภายในสิ้นปี 2025 ในหมวดธุรกิจนี้เปิดโอกาสให้กับธุรกิจขนาดเล็กสามารถเข้ามาท้าทายธุรกิจขนาดใหญ่อย่าง Microsoft หรือ Apple ได้ทุกเมื่อหากมีบริการที่ตอบสนองความต้องการผู้ใช้งานได้ดีพอ
- อีคอมเมิร์ซ
จากข้อมูลของ Shopify ใน Global Ecommerce Sales Growth ทำนายว่ามูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซจะแตะ 8 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ ประมาณ 240 ล้านล้านบาททั่วโลก การเข้ามาทำธุรกิจร้านค้าออนไลน์จะทำให้คุณเข้ามาเล่นในตลาดขนาดใหญ่
- ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง
จากข้อมูลของ IMARC คาดการณ์ว่า การตลาดดิจิทัลจะเติบโต 11% ทบต้นจากปี 2025 ถึงปี 2033 โดยครอบคลุมตั้งแต่ การทำ Copywriting, ทำ Content, จัดการด้านโซเชียล, การทำโฆษณาแบบ Pay Per Click และ กราฟิกดีไซน์
- ที่ปรึกษา (Consult)
ธุรกิจที่ปรึกษาเป็นหนึ่งในส่วนที่สามารถทำเงินได้ค่อนข้างดีและกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปกติที่ปรึกษาทำเงินราว 3 ล้านบาทต่อปี หากใครที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งและรับปรึกษาให้กับหน่วยงานต่างๆ ย่อมทำเงินได้เป็นอย่างดี
- คอร์สออนไลน์
ธุรกิจคอร์สออนไลน์ทั่วโลกเติบโตแตะ 1 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3 ล้านล้านบาท ในปี 2025 และกำลังมีแนวโน้มเติบโตทบต้น (CAGR) ปีละ 10% ต่อเนื่องไปอีก 4 ปี โดยคุณจำเป็นต้องมีความสามารถจำเพาะเจาะจงอะไรบางอย่าง พร้อมกับผู้ติดตามที่สนใจความสามารถเหล่านั้น แล้วสร้างเป็นคอร์สออนไลน์ มันจะกลายเป็นหนึ่งในแหล่งกระแสเงินได้เป็นอย่างดี
- ผู้ช่วยจำลอง (VA)
ผู้ช่วยจำลอง (Virtual Assistant) กลายเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตในยุคนี้ โดยการสร้างเครื่องมือด้วยเทคโนโลยี และ การจัดการให้ใครคนหนึ่งทำงานง่ายขึ้น โดยค่าเฉลี่ย (สหรัฐฯ) ผู้ช่วยจำลองแบบเริ่มต้นก็สามารถทำเงิน 24 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง (800 บาทต่อชั่วโมง) จากข้อมูลของ Zip Recruiter ผู้ช่วยจำลอง (VA) ในสหรัฐฯแบบ Full time ทำเงินราว 1.5 ล้านบาทถึง 1.6 ล้านบาทต่อปี
- ผู้จัดการด้านโซเชียลมีเดีย
โซเชียลมีเดียกลายเป็นหนึ่งในช่องทางหลักสำหรับกระตุ้นยอดขายของธุรกิจ หากคุณเข้ามาร่วมในโอกาสของคลื่นธุรกิจลูกนี้ในฐานะผู้จัดการด้านโซเชียลมีเดีย ก็สามารถทำเงินได้เช่นกัน จากข้อมูลของ Glassdoor เผยว่าผู้จัดการด้านโซเชียลมีเดีย ทำเงินราว 60,000 ดอลลาร์ต่อปี หรือประมาณ 1.8 ล้านบาท
- นักพัฒนาแอปพลิเคชัน
จากข้อมูลของ ZipRecruiter ประเมินว่านักพัฒนาแอปพลิเคชันทำเงินราว 1.8 แสนดอลลาร์ต่อปี หรือประมาณ 5.7 ล้านบาทต่อปี ด้วยอัตราค่าจ้างราว 85 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 2,600 บาทต่อชั่วโมง) โดยจำเป็นต้องมีทักษะการเขียนภาษา Java Script, Swift หรือ Kotlin , การออกแบบ UX/UI และ การจัดการโปรเจกต์ เป็นต้น
- ผู้ให้บริการบรรจุกล่องรายเดือน
หนึ่งในธุรกิจที่ใครหลายคนอาจคิดไม่ถึงคือ การให้บริการบรรจุกล่องแบบรายเดือน เนื่องจากเป็นหนึ่งในตลาดที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย ผู้ออกแบบจำเป็นต้องแยกหมวดหมู่ของกล่องตามประเภทสินค้า เช่น ของเล่น เสื้อผ้า หรือ อาหาร เป็นต้น
2.ธุรกิจบริการ (Service Based)
- อสังหาริมทรัพย์
หนึ่งในภาคธุรกิจที่ทำเงินได้ดีคงหนีไม่พ้น อสังหาฯ และ สามารถเริ่มเข้ามามีส่วนร่วมได้อย่างง่ายดายจากการเป็นนายหน้าอสังหาฯ จากข้อมูลของหน่วยงานสถิติเศรษฐกิจแรงงาน (BLS) เผยว่า ค่าเฉลี่ยเงินเดือนของนายหน้าอสังหาฯ ในปี 2024 สูงถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี แต่ทั้งนี้การแข่งขันก็สูงตามมาด้วยเช่นกัน
- โค้ชฟิตเนสออนไลน์
จากข้อมูลของ IBISWorld ประมาณการว่าในอุตสาหกรรมเทรนเนอร์ของสหรัฐฯในปี 2024 มีมูลค่าราว 4 แสนล้านบาท ไม่เพียงเท่านั้นธุรกิจโค้ชฟิตเนสออนไลน์ยังเป็นสิ่งที่เริ่มต้นด้วยต้นทุนที่น้อยอีกด้วย อาศัยเพียงแค่ความรู้คุณก็สามารถเริ่มต้นได้แล้ว โค้ชฟิตเนสออนไลน์จำนวนมากเริ่มต้นจากการคอนเทนต์ออนไลน์ผ่าน Youtube, Instagram หรือ Tiktok เป็นต้น
- บริการทำความสะอาด
ในอุตสาหกรรมทำความสะอาดของสหรัฐฯ เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากช่วงโควิด โดยคาดการณ์การเติบโตเฉลี่ยปีละประมาณ 5.6% แบบทบต้น (CAGR) ต่อไปอีก 5 ปี โดยตัวอย่างโมเดลธุรกิจที่เกิดขึ้นก็อย่างเช่น การเปิดแพลตฟอร์มหรือเพจรับทำความสะอาดแล้วบริหารจัดการแม่บ้านในมือและจัดการด้านการจองให้กับลูกค้า เป็นต้น
- ผู้จัดอีเวนต์
จากข้อมูลของสำนักงานด้านสถิติของแรงงานสหรัฐฯ พบว่า ธุรกิจด้านอีเวนต์เติบโตเร็วกว่าค่าเฉลี่ยของธุรกิจอื่นๆ และคาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโตราว 7.7% ต่อปีตั้งแต่ 2023 ถึง 2030 โดยหนึ่งในโมเดลธุรกิจที่ทำกำไรได้ดี คือ การเป็นผู้วางแผนงานแต่ง อ้างอิงจาก Zola เว็บไซต์ด้านการจัดงานแต่ง เผยว่า ค่าเฉลี่ยงานแต่งในสหรัฐฯ อยู่ที่ราว 9 แสนบาท และ ผู้จัดงานทำเงินได้ราว 6 หมื่นบาทต่องาน
- บริการทำความสะอาดรถยนต์
จากการคาดการณ์ทั่วโลก ประเมินว่า ตลาดทำความสะอาดรถยนต์จะพุ่งแตะ 1.5 แสนล้านบาทในปี 2030 แต่ทั้งนี้ก็เป็นธุรกิจที่ต้องลงทุนในแง่ตัวเงินค่อนข้างเยอะ ทั้งอสังหาฯ อุปกรณ์ ค่าน้ำค่าไฟ และ ค่าลูกจ้าง เป็นต้น ซึ่งจากข้อมูลในสหรัฐฯ ผู้ประกอบการ สามารถทำเงินได้ราว 1.2 ล้านบาทต่อปี และหากทำเป็น Full Service สามารถทำเงินได้มากถึง 30 ล้านบาทต่อปี
- บริการด้านการทำบัญชี
ทุกธุรกิจไม่ว่าจะเป็นสาขาอะไร ต่างต้องการนักจัดการบัญชี สำหรับการทำงบการเงิน วางแผนระบบจ่ายเงินเดือน และ บริการด้านภาษี เป็นต้น หากคุณเป็นนักบัญชีที่อยากขยายกรอบเงินเดือน การรับงานฟรีแลนซ์หรือเปิดบริษัทที่รับบริหารจัดการบัญชีทั้งสำหรับบริษัทและส่วนบุคคล นับว่าเป็นหนึ่งในช่องทางที่ดี จากข้อมูลของ ZipRecruiter เผยว่า เงินเดือนเฉลี่ยของนักบัญชีในสหรัฐฯ อยู่ที่ราว 1.5 ล้านบาทต่อปี และ มากได้ถึง 2.5 ล้านบาทต่อปี
- ปล่อยเช่าที่พักสำหรับท่องเที่ยว
ในยุคปัจจุบัน การเดินทางท่องเที่ยวกลายเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญของชีวิตคนยุคใหม่ ซึ่งธุรกิจการปล่อยเช่าที่พักสำหรับการท่องเที่ยวจึงเติบโตตามไปด้วย จากรายงานของ Thrillist เผยรายได้เฉลี่ยของผู้ปล่อยเช่า Airbnb ในพื้นที่ดังสหรัฐฯ ทำเงินได้ราว 1.3 ล้านบาท ในขณะที่การปล่อยเช่าในพื้นที่แถบฮาวาย ทำเงินได้ราว 2.2 ล้านบาทต่อปี แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับประเทศ สถานที่ และ ช่วงเวลาต่างๆของปีอีกเช่นกัน
- บริการดูแลสัตว์เลี้ยง
การเลี้ยงสัตว์กลายเป็นหนึ่งในความนิยมของคนยุคนี้เติบโตสวนทางกระแสการมีลูกที่ลดลง ดังนั้น ผู้คนเริ่มดูแลเหล่าสัตว์เลี้ยงเหมือนลูกตัวเอง ธุรกิจการรับบริการดูแลสัตว์เลี้ยงก็เติบโตเป็นอย่างดี
จากข้อมูลที่เปิดเผยผ่าน Shopify พบว่า ตลาดการดูแลสัตว์เลี้ยง เติบโตทบต้น 7% ต่อปี (CAGR) ด้วยมูลค่าตลาดรวมของปี 2024 ที่ราว 8 ล้านล้านบาท โดยคนให้บริการดูแลได้ค่าจ้างเฉลี่ย 800 บาทต่อชั่วโมง
- สอนพิเศษ
ธุรกิจสอนพิเศษ มีการคาดการณ์ว่าตลาดการเรียนพิเศษแบบจัดเวลาส่วนตัวได้ เติบโตเฉลี่ย 14.5% ต่อปีแบบทบต้น (CAGR) และจากข้อมูลในสหรัฐฯ ผู้สอนได้ค่าจ้างเฉลี่ย 1 พันบาทต่อชั่วโมง ขึ้นกับว่าเป็นเนื้อหาด้านไหน ทั้งนี้ตลาดสอนพิเศษในไทยก็เติบโตมาอย่างยาวนานเช่นกัน แต่ส่วนมากมักเป็นการสอนพิเศษเนื้อหาวิชาการเพื่อสอบเข้า หรือ การเรียนในโรงเรียน เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือ ด้านภาษาเป็นต้น
- แฟรนไชส์
การเปิดธุรกิจจากแฟรนไชส์ดัง ที่เป็นที่รู้จักอยู่แล้ว กำลังเติบโต จากข้อมูลของ Statista เผยว่าในปี 2025 ดูจะเป็นปีที่มีการเติบโตของธุรกิจแฟรนไชส์มากที่สุดปีหนึ่ง แต่ทั้งนี้การเปิดธุรกิจของแฟรนไชส์ ที่เป็นที่รู้จักก็มักตามมาด้วยต้นทุนที่แพงขึ้น แต่ก็แลกมาด้วยโอกาสที่จะได้รายได้ที่แน่นอนขึ้น โดยตัวอย่าง McDonald มีต้นทุนการเปิดธุรกิจอยู่ที่ราว 30 ถึง 70 ล้านบาท (ในสหรัฐ) แต่ก็มีโอกาสทำเงินได้มากถึง 100 ล้านบาทต่อปี เป็นต้น
3.ธุรกิจด้านคอนเทนต์และการสร้างสรรค์ (Creative & Content)
- ธุรกิจด้านสินค้าแฟชั่นและเครื่องประดับ
อุตสาหกรรมเครื่องประดับและแฟชั่นทั่วโลกถูกประเมินว่าจะแตะ 60 ล้านล้านบาท ภายในปี 2025 หากคุณเป็นคนที่สนใจด้านแฟชั่น อย่าง เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า หรือ เครื่องประดับ คุณสามารถเริ่มต้นภายใต้ต้นทุนที่ไม่สูง และ สามารถทำการตลาดผ่านออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว ไม่เพียงเท่านั้น ผู้บริโภคในยุคนี้เริ่มสนใจกับสินค้าที่มาจากแบรนด์เกิดใหม่มากกว่ายุคก่อนเช่นกัน หากคุณสามารถทำการตลาดได้ตรงใจ และ ความสนใจของเขา
- ถ่ายรูปและวิดีโอ
อุตสาหกรรมการถ่ายภาพถูกประเมินว่า มีการเติบโตทบต้นเฉลี่ยปีละมากกว่า 6% (CAGR) หากคุณมีทักษะการถ่ายรูปภาพและวิดีโอ นั่นคือโอกาสของคุณ จากการที่ผู้คนในยุคนี้มีความสนใจในการทำคอนเทนต์กันอย่างมาก หลายช่องที่มีผู้ติดตามจำนวนมากจะเริ่มจ้างคนถ่ายเข้ามาเพื่อให้เนื้อหามีความเชี่ยวชาญมากขึ้น โดยจากข้อมูลของ Shopify เผยว่า ช่างภาพในสหรัฐฯ ทำเงินได้ราว 700 บาทต่อชั่วโมง ในขณะที่ช่างถ่ายวิดีโอ ทำเงินได้ราว 1000 บาทต่อชั่วโมง
- กราฟิกดีไซน์
จากข้อมูลของ IBIS world เผยว่า กราฟิกดีไซเนอร์ กำลังเป็นที่ต้องการตัวในยุคนี้ จากเทรนด์ที่ทุกอย่างมุ่งไปสู่ดิจิทัล หลายธุรกิจต้องการกราฟิกดีไซเนอร์มาออกแบบสินค้าสู่ภาพดิจิทัล หรือ ออกแบบสินค้าต่างๆ โดยค่าจ้างในสหรัฐฯ เฉลี่ยอยู่ที่ราว 600 บาทถึง 1300 บาทต่อชั่วโมง
- สอนดนตรี
ดนตรี หนึ่งในความสามารถที่คนในยุคไหนก็ต่างสนใจ และในยุคนี้ก็เช่นกัน แต่ผู้คนบางส่วนอาจเริ่มไปใช้วิธีการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านคลิปออนไลน์มากขึ้น แต่ทั้งนี้รายได้ของครูสอนดนตรีในสหรัฐฯ ก็ได้รับการประเมินว่าอยู่ที่ราว 7 แสนบาทถึง 2 ล้านบาทต่อปี เลยทีเดียว
- นักแปลภาษา (Translator)
จากข้อมูลของเว็บไซต์ Shopify เผยว่าตลาดนักแปลภาษา เติบโตเฉลี่ย 5% แบบทบต้น (CAGR) มาตั้งแต่ปี 2020-2025 และมีโอกาสมูลค่าตลาดรวมโตแตะ 3 แสนล้านบาทในปี 2025 หากใครสามารถพูดได้อย่างน้อยสองภาษานั่นเป็นโอกาสสำหรับคุณ โดยค่าเฉลี่ยรายได้ในสหรัฐฯ อยู่ที่ราว 800 บาทต่อชั่วโมง
- ฟรีแลนซ์
ฟรีแลนซ์ เป็นคำนิยามที่ค่อนข้างกว้าง แต่หมายถึง การรับจ้างทำของหรือบริการบางอย่างเพื่อแลกกับเงินจำนวนหนึ่ง ด้วยคำนิยามดังกล่าวมีแรงงานมากกว่า 25% อยู่ในตลาดนี้ แต่ทั้งนี้ คุณจำเป็นต้องมีทักษะ หรือ ความสามารถบางอย่างที่คนจะมาจ้างให้คุณทำ โดยเฉลี่ย ฟรีแลนเซอร์ ทำเงินได้ราว 1500 บาทต่อชั่วโมง (สหรัฐฯ)
- พอดแคสเตอร์
หากคุณเป็นคนที่สามารถเล่าเรื่องได้ดี และ มีคนสนใจในบางเรื่องเป็นพิเศษ หรือมีเสียงที่น่าฟัง การเปิดช่อง Podcast เพื่อเล่าเรื่องบางอย่าง ก็สามารถทำเงินได้อย่างดี เนื่องจากหากคุณเป็น Podcaster ตัวท็อป สามารถทำเงินได้มากเป็นหลักล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 30 ล้านบาทได้เลยทีเดียว โดยที่ต้นทุนการดำเนินการค่อนข้างต่ำ แต่ก็แลกมาด้วยการแข่งขันค่อนข้างสูงเช่นกัน
4.ธุรกิจการซื้อขายแลกเปลี่ยนและความสามารถเฉพาะทาง (Trade & Skilled Labor)
- ผู้ให้บริการเกี่ยวกับการพัฒนาที่อยู่อาศัย
ตลาดการพัฒนาบ้าน (Home Improvement) เติบโต 3% ในปี 2025 โดยหากคุณมีความรู้เกี่ยวกับ การตกแต่ง การประกันภัยเกี่ยวกับบ้าน และ เทคโนโลยี ที่จะมาทำให้คุณภาพการอยู่อาศัยดีขึ้น ก็สามารถเข้ามาแย่งส่วนแบ่งในธุรกิจนี้ได้เช่นกัน
- การจัดสวน (Landscaping)
หากคุณเป็นคนที่สนใจในการจัดสวน และ มีเครื่องมืออยู่แล้ว การเข้ามาร่วมในธุรกิจดังกล่าวนับว่าไม่ใช่เรื่องยาก และ ยังเป็นที่ต้องการ จากกระแสการจัดบ้าน ตกแต่งสวนที่มากขึ้นในโซเชียล โดยเฉลี่ยของนักจัดสวนสามารถทำเงินได้เฉลี่ย 1 ล้านบาทต่อปี (สหรัฐฯ)
- ธุรกิจทาสี
หากคุณเป็นคนที่มีความพร้อมในอุปกรณ์สำหรับการทาสี และ มีความสามารถในการทาสี นับว่าเป็นหนึ่งในงานช่างที่น่าสนใจ (สหรัฐฯ) ซึ่งสามารถทำเงินได้ราว 700 บาทต่อชั่วโมง แต่สำหรับบริบทประเทศไทย ที่บริษัทเอกชนขนาดใหญ่เริ่มรับจ้างงานเหล่านี้เองเป็นส่วนมาก และ ผู้ประกอบการรายเล็กเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ การเข้ามาแข่งขันด้วยรายละเอียด และ การบริการลูกค้าที่ดีกว่า อาจทำให้ได้ส่วนแบ่งในตลาดดังกล่าว
- รับเหมาและการก่อสร้าง
การรับเหมาและก่อสร้าง ยังเป็นหนึ่งในธุรกิจที่เกิดขึ้นเป็นใหม่จำนวนมากในประเทศไทย จากการที่ผู้คนยังมีความต้องการสำหรับการตกแต่งและซ่อมแซมบ้าน ตึก และ คอนโด แต่ทั้งนี้ก็ ปิดตัวไปอย่างรวดเร็วในเกือบทุกปี เนื่องจากผู้รับเหมาจำนวนมากรับงานแล้วทิ้งงานในงวดท้าย การเข้ามาเริ่มในธุรกิจดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัย ความน่าเชื่อถือ และ เงินทุน เพื่อทำให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน
- ช่างประปา
ในสหรัฐฯ การเป็นช่างประปา จำเป็นต้องได้รับการฝึกอบรมและใบอนุญาตก่อน ทำให้จำนวนของบุคคลที่สามารถทำงานดังกล่าวได้ลดลงไป ดังนั้นค่าตอบแทนของช่างประปาในสหรัฐฯ ตกประมาณ 900 บาทต่อชั่วโมง และ สามารถทำเงินได้เฉลี่ย 1.9 ล้านบาทต่อปี
5.ธุรกิจที่เป็นโอกาสใหม่ (Emerging Opportunities)
- ที่ปรึกษาด้าน AI (Artificial Intelligence)
หนึ่งในไอเดียการเริ่มธุรกิจด้าน AI (Artificial Intelligence) คือการเป็นที่ปรึกษาด้าน AI โดยมูลค่าตลาดรวมของอุตสาหกรรม AI ทั่วโลกสูงถึง 8 ล้านล้านบาทในปี 2025 หากคุณมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการใช้งานด้าน AI และรับงานปรึกษาเกี่ยวกับ AI สามารถทำเงินได้มากถึง 3 ล้านบาทต่อปีในสหรัฐฯ
- ที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน
ความยั่งยืน กลายเป็นหนึ่งในหัวข้อหลักของนักธุรกิจทั่วโลก การเติบโตของอุตสาหกรรมความยั่งยืนและธุรกิจสีเขียวเติบโตเฉลี่ย 23% ทบต้นต่อปี (CAGR) และคาดการณ์ว่าจะแตะ 2.4 ล้านล้านบาท ในปี 2030 โดยงานหลักของที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน จะเป็นการวางแผนให้บริษัทลดสารที่ไม่ก่อประโยชน์จากกระบวนการผลิต การสร้างสินค้าที่เน้นความยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สร้างประโยชน์ให้กับผู้มีส่วนร่วม เป็นต้น
- 3D Printing
อุตสาหกรรม 3D printing คาดว่าจะมีมูลค่าแตะ 3.9 ล้านล้านบาทในปี 2034 โดยการเข้ามามีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมนี้ สามารถทำได้ผ่านการสร้างสินค้าที่เป็น 3D printing, การให้บริการกับผู้ประกอบการที่ต้องการใช้ 3D printing หรือ การขายเครื่อง 3D printing เป็นต้น
- ผู้ให้บริการโดรน
อุตสาหกรรมโดรนเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตทบต้นเฉลี่ยเกือบ 30% ต่อปี (CAGR) ซึ่งมีความจำเป็นต่อการทำแผนที่, สำรวจเส้นทาง รวมไปถึงการสร้างโมเดลเส้นทางสามมิติ เป็นต้น ซึ่งผู้ประกอบการสามารถนำโดรนมาใช้รับจ้างสร้างแผนที่ให้กับบริษัทต่างๆ หรือ การถ่ายภาพมุมพิเศษที่ช่างกล้องปกติเข้าไม่ถึงก็เป็นได้เช่นกัน

ภาพประกอบ: ณัฏฐ์กานต์ ดวงมาตย์พล
อ้างอิง:


