ศาลแพ่งมีคำพิพากษาตัดสิน สุรินทร์ โตทับเที่ยง แพ้คดี สั่งโอนหุ้นและที่ดินคืนพี่น้อง หลังแตกหักฟ้องร้องกันไปมานานหลายปี
เมื่อวานนี้ (21 มี.ค.) ศาลแพ่งธนบุรีนัดฟังคำพิพากษาคดีศึกสายเลือดกงสีพี่น้องตระกูลโตทับเที่ยง ครอบครัวธุรกิจผู้กว้างขวางในจังหวัดตรัง มีธุรกิจที่คนทั้งประเทศรู้จักคือ ปลากระป๋องปุ้มปุ้ย โดยคดีนี้ สุธรรม โตทับเที่ยง (โจทก์) พี่ชายคนโตยื่นฟ้อง สุรินทร์ โตทับเที่ยง (จำเลย) น้องชายคนรอง ที่ร่วมพัฒนาธุรกิจมาด้วยกัน และพวกรวม 6 คน ซึ่งปัจจุบันถือแทนสินทรัพย์ของครอบครัวประกอบด้วย หุ้นใน 21 บริษัทและที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของกงสี
ศาลแพ่งธนบุรีมีพิพากษาให้ สุรินทร์ โตทับเที่ยง ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 และพวกนำแบ่งให้โจทก์ทั้ง 9 และให้จำเลย 1 ส่วน นั่นคือแทนที่ฝั่งนายสุรินทร์จะถือแทนสินทรัพย์ส่วนใหญ่ไว้ จะต้องเฉลี่ยแบ่งคืนให้กับพี่น้องทั้งสองฝั่งรวม 10 คนในกงสี โดยหุ้นของทั้ง 21 บริษัทประกอบด้วย บริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด (มหาชน) ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมทั้งกลุ่มบริษัทที่ประกอบธุรกิจอาหาร ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอื่นๆ ของตระกูล นอกจากนี้ยังมีที่ดินจำนวน 31 แปลง ซึ่งจะต้องแบ่งคืนกลับเข้ากงสีด้วย
ดราม่าตระกูลโตทับเที่ยงยืดเยื้อต่อเนื่องมาหลายปี และเริ่มเป็นข่าวดังเมื่อสุรินทร์ซึ่งมีบทบาทการบริหารในฐานะซีอีโอสั่งปลดพี่น้องและหลานๆ ออกจากการเป็นผู้บริหารบริษัทและแต่งตั้งลูกๆ เข้ามาดำเนินการแทน จากนั้นสุธรรมยื่นคำร้องขอให้สุรินทร์เลิกใช้นามสกุลโตทับเที่ยง และเกิดการฟ้องร้องหมิ่นประมาทกลับ จนเมื่อสุธรรมยื่นฟ้องสุรินทร์ต่อศาลแพ่งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา และศาลมีคำพิพากษาล่าสุดดังกล่าว
ต้องรอดูความเคลื่อนไหวของสุรินทร์อีกครั้งว่าจะก้าวต่อไปอย่างไร ท่ามกลางทุกสายตาที่มองมาที่ตระกูลโตทับเที่ยง และเรื่องนี้ทำให้ประเด็นศึกสายเลือดเป็นที่สนใจมากขึ้น ตอกย้ำประเด็น ‘เรื่องเงินไม่เข้าใครออกใคร’ ได้ชัดเจนขึ้น
ขณะที่ก่อนหน้านี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยส่งหนังสือแจ้งเตือนบริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด (มหาชน) หรือ POMPUI ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากบริษัทประสบปัญหาฐานะทางการเงินและอาจถูกเพิกถอนออกจากตลาดหุ้นหากไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ภายใน 31 มีนาคมนี้ จึงถือเป็นวิบากกรรมทางธุรกิจของปลากระป๋องปุ้มปุ้ยที่ต้องรับทั้งศึกนอกและศึกในที่หนักหนาในเวลาเดียวกัน
อ้างอิง: