นักวิเคราะห์ทิสโก้ชี้ รัฐบาลควรเร่งออกมาตรการแรงสู้โควิด-19 ประคองเศรษฐกิจ-เพิ่มความเชื่อมั่น หวั่นภาคธุรกิจกระทบหนักลากยาวลามจ้างงาน เสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย เผยมาตรการการเงินเริ่มไม่ได้ผล ด้าน บล.ทิสโก้ มองหุ้นกลุ่มค้าปลีก, สื่อสาร และท่องเที่ยว น่าลงทุนระยะยาว ด้านทิสโก้เวลธ์แนะนำลงทุนกองทุนที่เกี่ยวข้องกับเมกะเทรนด์ กระจายลงทุนหุ้นสหรัฐฯ-จีน
คมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยในรายการ LIVE with Guru เจาะลึกกับผู้รู้เรื่องการลงทุน ในเพจเฟซบุ๊ก TISCO Advisory ว่า ผลกระทบจากโควิด-19 เป็นปัจจัยเหนือการควบคุมที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในระยะสั้น แต่ในช่วงนี้หากไม่มีมาตรการพยุงเศรษฐกิจที่เห็นผล อาจทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้ อย่างไรก็ตามคาดว่า หลังจากนี้ธนาคารกลางทั่วโลกจะทยอยประกาศมาตรการการเงินตามหลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) แต่อาจไม่สามารถชะลอการเทขายหุ้นหรือส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจในทันที เนื่องจากคนขาดความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไปแล้ว
ดังนั้น ปัจจัยเร่งด่วนที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อฟื้นความเชื่อมั่น และทำให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวกลับมาได้ มองว่านักลงทุนและผู้บริโภคต้องการเห็น 3 มาตรการหลัก ดังนี้
- มาตรการควบคุมโรค หลังจากจำนวนผู้ติดเชื่อเพิ่มขึ้นเร็วต่อเนื่องในหลายๆ ประเทศ เป็นปัจจัยหลักที่กดดันเศรษฐกิจและความเชื่อมั่น ซึ่งหากยังควบคุมไม่ได้เป็นเวลานาน ก็อาจลุกลามจนทำให้เกิดการปลดคนงาน หรือการผิดนัดชำระหนี้ระลอกใหญ่ ซึ่งเป็นชนวนให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ซึ่งมาตรการการควบคุมโรคนี้อาจต้องเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แม้ในระยะสั้นจะมีแรงเหวี่ยงต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรง แต่จะส่งผลดีในระยะยาว เนื่องจากคนมีความหวังว่าการแพร่ระบาดของไวรัสจะจบได้เร็วเหมือนประเทศจีนและเกาหลีใต้ และหากการระบาดของโรคควบคุมได้เร็ว ความเสี่ยง Recession ก็จะลดลงอย่างมาก
- นโยบายการคลัง เช่น การออกมาตรการลดภาษีหรือการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่มากเพียงพอ จะทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นฟื้นตัวได้อย่างฉับพลัน โดยมาตรการจำเป็นในประเทศไทยมองว่า ต้องเร่งดำเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบการและบรรเทาผลกระทบของประชาชน เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเติมสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจและประคองไม่ให้เกิดการเลิกจ้างงาน เพราะหากเกิดการเลิกจ้างจำนวนมาก จะส่งผลกระทบต่อการบริโภคในระยะยาว และเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ช้า
- ลดการซ้ำเติมเศรษฐกิจจากราคาน้ำมัน โดยซาอุดีอาระเบียและรัสเซียจะต้องกลับมาเจรจาลดปริมาณการผลิตน้ำมัน เพื่อช่วยให้ราคาน้ำมันฟื้นตัว และลดความเสี่ยงที่ผู้ผลิต Shale Oil ในสหรัฐฯ จะผิดนัดชำระหนี้
“ในส่วนของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยตอนนี้แทบจะไม่มีภูมิต้านทาน สะท้อนได้ชัดเจนว่า โครงสร้างเศรษฐกิจพึ่งพารายได้จากต่างประเทศในสัดส่วนที่สูงมาก โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่มีสัดส่วนถึง 11.5% ส่วนส่งออกก็กระทบเป็นลูกโซ่จากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า แม้ราคาน้ำมันจะปรับลดลง แต่ก็ไม่ได้ช่วยมากนัก โดยมาตรการจะเข้ามาช่วยพยุงได้มากที่สุดมองว่า เป็นมาตรการการคลังมากกว่ามาตรการทางการเงิน เพราะเชื่อว่าในภาวะเช่นนี้การปรับลดดอกเบี้ยคงไม่ได้ช่วยอะไรได้มาก และอาจจะส่งผลร้ายให้คนขาดความเชื่อมั่นมากขึ้น ดังเช่น Fed ที่ตัดสินใจประชุมนอกรอบเป็นครั้งที่ 2 และประกาศลดดอกเบี้ยลงถึง 1% เป็น 0.00-0.25% ต่อเนื่องจากการการประชุมเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ที่ปรับลด 0.5% แต่แทนที่หุ้นจะวิ่งรับข่าวดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับปรับตัวลดลง”
คมศรกล่าวว่า สำหรับมุมมองอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยนั้นคาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงตามสถานการณ์โลก แต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้อาจส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจค่อนข้างน้อย เพราะปัญหาหลักของเศรษฐกิจไทยช่วงนี้คือ ผู้บริโภคไม่ค่อยมีความมั่นใจมากกว่า
สำหรับทิศทางค่าเงินบาทคาดว่า ค่าเงินบาทจะทรงตัวถึงอ่อนค่าลงเล็กน้อย โดยมีประเด็นเชิงบวกจากราคาน้ำมันที่ลดลงมาก และอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูงกว่าสหรัฐฯ แต่มีประเด็นเชิงลบจากการท่องเที่ยวที่ปรับลดลง ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดลดลง
ส่วนทิศทางราคาทองคำที่แม้ว่า Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยและทำ QE แต่ราคาทองไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนกลัวเรื่องอัตราเงินเฟ้อติดลบ แต่ในระยะยาวก็ยังชื่นชอบการลงทุนในทองคำ เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงปลายวัฏจักรเศรษฐกิจ และยังมีความเสี่ยงต่างๆ รออยู่มาก ดังนั้น หากราคาทองคำลดลงก็เป็นโอกาสในการเข้าซื้อ
มนชัย มกรานุรักษ์ หัวหน้าสำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ประเมินว่า ผลกระทบจากโควิด-19 จะเริ่มส่งผลต่อตัวเลขกำไรบริษัทจดทะเบียนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นไป ทั้งนี้ จากการติดตามพบว่า ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแรงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยลงมาเกือบ 30% เมื่อเทียบจากต้นปี และลงมากว่า 40% เมื่อเทียบกับจุดสูงสุดของดัชนีหุ้นไทยที่ 1,850 จุด ในช่วงต้นปี 2561 จึงกล่าวได้ว่า ขณะนี้ตลาดหุ้นไทยก้าวเข้าสู่ตลาดหุ้นหมีอย่างเต็มตัวแล้ว ซึ่งต้องติดตามต่อไปว่า การแพร่ระบาดของไวรัสจะจบลงอย่างไร เพราะประเทศจีนเริ่มควบคุมการแพร่ระบาดได้แล้ว ขณะที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกเพิ่งจะเริ่มต้น
ส่วนการที่ Fed มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมฉุกเฉินวานนี้ (15 มีนาคม) ตามเวลาท้องถิ่น ลงอีก 1.00% จากระดับ 1.00-1.25% มาอยู่ที่ระดับ 0.00-0.25% นั้น นักลงทุนมองว่า Fed อาจเห็นสัญญาณที่น่ากังวลบางอย่างมากกว่าการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือนเช่นทุกครั้ง ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลงแรงรับข่าว ซึ่งตลาดหุ้นไทยก็ปรับลงแรงเช่นกัน ดังนั้น การลงทุนแบบระยะสั้นในช่วงนี้จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่ก็ถือเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการคัดเลือกหุ้นพื้นฐานดี เพื่อการลงทุนระยะยาว เพราะส่วนตัวประเมินว่า แต่ละประเทศน่าจะควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้ในปีนี้ และคาดว่า หุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแบบ V-Shape ได้ในช่วงครึ่งปีหลัง
“แม้ว่าโดยภาพรวมจะตอบได้ยากว่า การแพร่ระบาดของไวรัสจะจบลงเมื่อไร แต่ส่วนตัวมั่นใจว่า จะเป็นเพียงปัจจัยลบระยะสั้น หากสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ในปีนี้ จะทำให้หุ้นไทยฟื้นตัวแบบ V-Shape หรือฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วได้ในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะภาคการท่องเที่ยวจะกลับมาเป็นบวกอย่างรวดเร็ว” มนชัยกล่าว
มนชัยกล่าวว่า หุ้นแนะนำของ บล.ทิสโก้ ในช่วงนี้จะเน้นหุ้นที่มีผลประกอบการเกี่ยวกับการบริโภคในประเทศมีพื้นฐานที่ดี และมีโอกาสฟื้นตัวเร็วหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสคลี่คลาย ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL กลุ่มสื่อสาร เช่น INTUCH สำหรับกลุ่มท่องเที่ยวก็สามารถหาจังหวะเข้าลงทุนได้ เพราะหากควบคุมการแพร่ระบาดได้ ราคาหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวจะกลับมาเร็ว หุ้นที่น่าสนใจคือ AOT และ BTS
ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารแม้ราคาจะต่ำมากแล้ว แต่ยังไม่แนะนำให้เข้าลงทุน เพราะนอกจากจะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากแล้ว ยังได้รับผลกระทบจาก Disruption ของอุตสาหกรรมการเงินอีกด้วย ส่วนนักลงทุนที่มีหุ้นกลุ่มอื่นอยู่ในพอร์ตนั้น แนะนำให้พิจารณาปัจจัยพื้นฐานรายตัว หากเป็นไปได้ให้ขายเปลี่ยนตัว เพื่อเข้ามาถือหุ้นกลุ่มที่แนะนำไปข้างต้น ส่วนมุมมองต่อดัชนีหุ้นไทยในเดือนมีนาคมนั้น บล.ทิสโก้ ประเมินว่า จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1,000-1,150 จุด
ณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ หัวหน้าที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สำหรับการลงทุนในกองทุนในช่วงที่ผ่านมา ได้แนะนำให้ลูกค้ากระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นจีน เพราะทั้งสองประเทศมีเครื่องมือที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจให้เติบโตต่อได้ นอกจากนี้ยังคงชื่นชอบการลงทุนในกองทุนที่สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ของโลก เช่น กลุ่มเฮลธ์แคร์ กลุ่มไบโอเทค กลุ่มอีคอมเมิร์ซ และกลุ่มธุรกิจที่น่าจะได้รับความนิยมในช่วงที่ผู้คนต้องกักตัวอยู่ที่บ้าน เช่น กลุ่มธุรกิจออนไลน์ กลุ่มการศึกษาออนไลน์ เป็นต้น สำหรับการลงทุนในกองทุนหุ้นไทยนั้น อาจเลือกกองทุนเชิงรุก โดยควรพิจารณารายละเอียดไปถึงกลุ่มธุรกิจที่ผู้จัดการกองทุนเลือกลงทุนที่ยังมีแนวโน้มเติบโต ส่วนนักลงทุนที่ลงทุนระยะสั้นอาจจับจังหวะเพื่อลงทุนในกองทุน Index Fund ที่อ้างอิงดัชนี SET 50 TRI หรือ SET TRI
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
เรียบเรียง: สุรเมธี มณีสุโข
ติดตามข่าวสารการลงทุนเพิ่มเติมได้ที่ www.efinancethai.com