กลุ่มทิสโก้เผยผลประกอบการงวดไตรมาส 1/65 มีกำไรสุทธิ 1,795 ล้านบาท เติบโต 1.8% จากค่าใช้จ่ายสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่ลดลงตามคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงสินเชื่อที่กลับมาขยายตัว
ศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1/65 กลุ่มทิสโก้มีกำไรสุทธิจำนวน 1,795 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.8% จากไตรมาส 1 ของปีก่อนหน้าจากค่าใช้จ่ายสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่ลดลง สำหรับรายได้จากการดำเนินงานรวมอ่อนตัวลง 13.4% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ของปีก่อนหน้า โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 1.6% จากการปล่อยสินเชื่อที่ชะลอตัวลง ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับลดลง 31.8% สาเหตุหลักมาจากธุรกิจที่เกี่ยวกับตลาดทุนตามภาวะตลาดที่ผันผวน
ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมพื้นฐานจากธุรกิจจัดการกองทุนลดลง 36.6% จากไตรมาส 1 ของปีก่อนหน้าที่มีการออกกองทุนใหม่ขนาดใหญ่ รายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 9.2% จากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลง ประกอบกับมูลค่าเงินลงทุนลดลงตามความผันผวนของสภาวะตลาดทุนทั้งไทยและต่างประเทศ ส่งผลให้เกิดผลขาดทุนจากเงินลงทุนที่ตีมูลค่ายุติธรรมผ่านงบกำไรขาดทุนจำนวน 32 ล้านบาท เทียบกับผลกำไรจำนวน 313 ล้านบาท ซึ่งรับรู้ในไตรมาส 1/64 อย่างไรก็ดี ธุรกิจนายหน้าประกันภัยเติบโตได้ดี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปริมาณการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
สำหรับผลประกอบการเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/64 กำไรสุทธิอยู่ในระดับเดียวกันกับไตรมาสก่อนหน้า โดยบริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานลดลง 8.7% สาเหตุหลักมาจากการบันทึกค่าธรรมเนียมตามผลประกอบการ (Performance Fee) ในไตรมาส 4/64 ประกอบกับการชะลอตัวของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ 1.5% และค่าธรรมเนียมจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่อ่อนตัวลง 1.3% ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมพื้นฐานจากธุรกิจจัดการกองทุนขยายตัว 15.1% จากธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 13.0% จากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น
ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss: ECL) ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 0.2% ของยอดสินเชื่อเฉลี่ย จากคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้นตามการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพ โดยกลุ่มทิสโก้มีสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPLs) ลดลงอย่างมากจำนวน 571 ล้านบาทจากสิ้นปีก่อนหน้า หรือคิดเป็น NPL Ratio ที่ลดลงจาก 2.44% มาอยู่ที่ 2.15% ของสินเชื่อรวม และมีระดับเงินสำรองหนี้สูญต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Loan Loss Coverage Ratio) อยู่ในระดับสูงที่ 262.1%
สำหรับเงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 มีจำนวน 203,553 ล้านบาท เติบโต 0.3% จากสิ้นปีก่อนหน้า จากการขยายตัวของเงินให้สินเชื่อในกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียน สินเชื่อเช่าซื้อรถมือสอง สินเชื่อธุรกิจ และสินเชื่อ SMEs และในไตรมาส 1/64 บริษัทมีอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) อยู่ที่ 17.1%
ธนาคารทิสโก้ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 24.3% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11.0% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 19.9% และ 4.4% ตามลำดับ
“เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้แม้จะฟื้นตัวได้อย่างชัดเจนขึ้น โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในประเทศ จากการที่ประชาชนเริ่มปรับตัวคุ้นชินกับโควิด และการเตรียมปรับให้โควิดออกจากโรคระบาดเข้าสู่โรคประจำถิ่นในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ แต่ภาพโดยรวมของเศรษฐกิจยังเป็นการฟื้นตัวที่ไม่แข็งแรงและไม่ทั่วถึง ดังนั้น ทิศทางการดำเนินธุรกิจของกลุ่มทิสโก้ในไตรมาสที่ 2 จะยังคงดำเนินการอย่างรอบคอบระมัดระวัง มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ควบคู่กับการดูแลคุณภาพลูกหนี้ต่อเนื่อง” ศักดิ์ชัยกล่าว
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP