ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) หรือ AIRA เปิดเผยว่าเดือนธันวาคม 2562 คาดว่าตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยให้กรอบดัชนีแนวรับแรก 1,546 จุด (แนวรับถัดไป 1,530 จุด) ส่วนแนวต้านแรก 1,578 จุด (แนวต้านถัดไป 1,608 จุด) ปัจจัยหลักมาจากความกังวลต่อสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยังไม่แน่นอน และมีสัญญาณจะยืดเยื้อไปถึงพฤศจิกายน 2563 หรือตรงกับช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ปัจจัยต่างประเทศที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย ได้แก่ การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) วันที่ 10-11 ธันวาคมนี้ คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และไม่ส่งสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะสั้น
ขณะที่ปัจจัยในประเทศต้องจับตามองด้านการเมือง โดยเฉพาะความกังวลต่อเสถียรภาพรัฐบาล เพราะอาจส่งผลกระทบต่อการชะลอลงทุนของต่างชาติและสถาบันในประเทศ นอกจากนี้ต้องติดตามผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยในวันที่ 18 ธันวาคมนี้ โดยทางไอร่าคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.25%
อย่างไรก็ตาม ในระยะนี้แนะนำการลงทุนในหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและหุ้นที่ผลประกอบการปี 2563 จะเติบโตต่อเนื่อง เช่น ADVANC, AP, CPF, PTG, SEAFCO และ SINGER ฯลฯ
ด้าน อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่าบรรยากาศการลงทุนโดยรวมยังไม่สดใส ส่วนหนึ่งเพราะเดือนธันวาคมนี้ประเมินว่าเม็ดเงินลงทุนจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) จะไหลเข้าซื้อหุ้นไทยน้อยกว่าที่คาด เพราะภาวะเศรษฐกิจยังอ่อนแอ ทำให้นักลงทุนระมัดระวังการใช้จ่ายและการลงทุน ขณะเดียวกันจะมีการออกกองทุนรวมใหม่ที่มาทดแทน LTF อาจล่าช้า จึงอาจส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินไหลเข้าในปีนี้
“ช่วงธันวาคมนี้คาดว่าจะมีเงิน LTF เข้าซื้อหุ้นไทยประมาณ 20,000 ล้านบาท ลดลงจากก่อนหน้าที่คาดว่าจะเข้ามา 25,000 ล้านบาท ขณะที่ RMF คาดว่าจะมีเงินไหลเข้าเพียง 10,000 ล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะมีเงินไหลเข้าประมาณ 15,000 ล้านบาท” อภิชาติกล่าว
อย่างไรก็ตาม บล.ทิสโก้ เห็นว่าช่วงที่หุ้นไทยปรับลดลง เป็นจังหวะที่ดีในการทยอยเข้าซื้อหุ้นปันผล เพราะผลการศึกษาความเคลื่อนไหวหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูงผ่านดัชนี SETHD TRI (SET High Dividend Total Return Index) พบว่าในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายนของทุกปี หุ้นปันผลมักจะให้ผลตอบแทนรวมดีกว่าตลาดประมาณ 4%
ทั้งนี้หุ้นปันผลเด่นแนะนำของปี 2563 ได้แก่ KKP, TVO, AP, QH, MAJOR, SCB, SCC และ BBL ส่วนเดือนธันวาคมนี้จะเน้นเลือกหุ้นขนาดใหญ่ (Selective Buy) ที่มีประเด็นการลงทุนเด่นอย่างชัดเจน ได้แก่
- หุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องซื้อขายสูงที่น่าจะเป็นเป้าหมายการลงทุนของเม็ดเงิน LTF & RMF เช่น CPALL, MINT, SCB และ SCC
- หุ้นปันผลที่อยู่ใน SETHD Index ที่มักปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าตลาดในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้า เช่น AP, KKP, SCB และ SCC
- หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 Index เช่น VGI
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์