ทิม คุก (Tim Cook) ซีอีโอของ Apple มองเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นโอกาสทองธุรกิจ พร้อมเร่งทำตลาดอย่างหนัก ล่าสุดเปิดตัวร้านค้าออนไลน์แห่งแรกในเวียดนาม สะท้อนให้เห็นว่าตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตอย่างรวดเร็ว
สำนักข่าว CNN รายงานว่า ตลาดเวียดนาม อินเดีย และอินโดนีเซีย มีความสำคัญกับ Apple อย่างมาก ซึ่งถ้าเทียบกับที่ผ่านมา จีนถือเป็นศูนย์กลางและเปรียบเป็นเหมือนกระดูกสันหลังของ Apple ทั้งในแง่ของการผลิตและยอดขาย แต่วันนี้ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไป ตลาดจีนชะลอตัวลงและมีความเสี่ยงหลายอย่าง
แน่นอนว่าทำให้ Apple ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีต้องกระจายความเสี่ยง เริ่มมองหาฐานการผลิตใหม่ๆ ที่มีโอกาสและต้นทุนที่ถูกลง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ‘เวียดนาม’ กำลังเบียด ‘จีน’ ในฐานะฐานการผลิตที่สำคัญของ Apple ด้วยค่าแรงที่ถูก และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่น้อยกว่า
- ทิม คุก ซีอีโอของ Apple ยอมรับถึงศักยภาพของ AI ว่า ‘ยิ่งใหญ่’ แต่ชี้มีอีกหลายเรื่องที่ต้องแก้ไข ท่ามกลางเสียงบ่นของลูกค้าและพนักงานว่า Siri นั้นล้าสมัย
ทิม คุก ซีอีโอของ Apple กล่าวกับนักวิเคราะห์ว่า บริษัทมองเห็นโอกาสในประเทศใหม่ๆ โดยมั่นใจว่าจะช่วยสนับสนุนผลประกอบการ ส่วนผลการดำเนินงานในช่วงสามเดือนแรกของปี 2023 ตลาดเม็กซิโก อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ซาอุดีอาระเบีย ตุรกี และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมถึงบราซิล มาเลเซีย และอินเดีย เป็นไปอย่างที่คาดการณ์เอาไว้
“แต่ Apple ยังต้องเจอแรงกดดัน เพราะยังต้องเผชิญกับความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ โดยเห็นได้ชัดว่าการเติบโตชะลอตัวลงทั่วโลก จึงทำให้ต้องรีบหาโอกาสในตลาดใหม่ๆ” Daniel Ives กรรมการผู้จัดการของ Wedbush Securities กล่าว
ที่สำคัญในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า อินโดนีเซีย มาเลเซีย และอินเดีย จะกลายเป็นตลาดที่ยังมีช่องว่างให้กับ Apple เห็นได้จากความพยายามเข้าทำตลาดทั้งหน้าร้านและออนไลน์อย่างหนัก
ถึงกระนั้นตลาดอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดสมาร์ทโฟนที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก มีส่วนแบ่งการตลาดของ Apple เพียง 1% เท่านั้น
ทั้งนี้ จากรายงานของ Boston Consulting Group บอกว่า ผู้บริโภคในเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นฐานผู้บริโภคที่ใหญ่ และมีรายได้ระดับปานกลางไปจนถึงระดับสูง ซึ่งคาดว่าจะเติบโตประมาณ 5% ต่อปี ไปจนถึงปี 2030
อย่างไรก็ตาม การทำตลาดนั้นไม่ง่าย ยังมีความท้าทาย หากย้อนไปเมื่อหลายปีที่ผ่านมา Apple พยายามแข่งขันในตลาดเกิดใหม่ โดยเลือกที่จะพึ่งพาร้านค้าปลีกในท้องถิ่นแทน
แต่ด้วยราคา iPhone ซึ่งอยู่ระหว่าง 470-1,100 ดอลลาร์ (16,121-37,730 บาท) ยังเป็นราคาที่ค่อนข้างสูงสำหรับลูกค้าในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แถมยังต้องเจออุปสรรคเพราะหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ออกข้อกำหนดการทำธุรกิจที่เข้มงวดขึ้น เช่น ส่วนประกอบของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ขายในอินโดนีเซีย 35% ต้องผลิตในท้องถิ่นเท่านั้น ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ Apple ต้องปฏิบัติตาม
อ้างอิง: