แม้ว่าการขึ้นชี้แจงต่อหน้าสภาคองเกรสของ Shou Chew ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ TikTok ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จะให้ผลเพียงเล็กน้อยในการสร้างความเชื่อมั่นด้านความมั่นคงปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับบริษัทโซเชียลมีเดียแห่งนี้ แต่สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็ช่วยทำให้เข้าใจที่มาของความร่ำรวยของ Zhang Yiming ผู้ร่วมก่อตั้ง ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok วัย 39 ปี หนึ่งในมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกได้ง่ายขึ้น
รายงานจาก Bloomberg Billionaires Index ระบุว่า Chew ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ TikTok อธิบายโครงสร้างองค์กรในระหว่างการขึ้นให้การต่อสภาคองเกรสว่า ผู้ร่วมก่อตั้ง ByteDance รายนี้ถือหุ้นของ TikTok อยู่ประมาณ 20% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าตัวเลขประมาณการที่รายงานในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นั่นอาจทำให้ความมั่งคั่งของ Zhang อยู่ที่ 4.23 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยอิงจากมูลค่า 2.2 แสนล้านดอลลาร์ของบริษัทจากการซื้อขายส่วนตัวที่เปิดเผยเมื่อต้นเดือน
ตัวเลขประมาณการดังกล่าวลดลงประมาณ 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์จากในช่วงเดือนกันยายนปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่สตาร์ทอัพรายใหญ่ที่สุดของโลกเริ่มซื้อหุ้นคืน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3 แสนล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ เมื่อสองปีที่แล้วมูลค่าหุ้นของ TikTok ที่ Zhang ถืออยู่อาจมีมากกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้เขาเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย โดยมีรายงานว่า นักลงทุนยินดีที่จะซื้อหุ้นในส่วนนี้ คิดเป็นมูลค่าเกือบ 4 แสนล้านดอลลาร์
ในช่วงที่ผ่านมา ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok ในกรุงปักกิ่งต้องจัดการกับปัญหาที่นอกเหนือจากอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยี นั่นคือข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการสอดแนมข้อมูลพลเรือนสหรัฐอเมริกาผ่านแพลตฟอร์ม TikTok ของบริษัท ซึ่งตัวเลขล่าสุดบ่งชี้ว่ามีผู้ใช้มากกว่า 150 ล้านคนในสหรัฐฯ ซึ่งนำไปสู่ความกังวลเกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูลของรัฐบาลจีนและการเกิดภัยคุกคาม ดังนั้น รัฐบาลสหรัฐฯ จึงตัดสินแบน TikTok หากว่าบริษัทไม่เต็มใจยอมออกจากบริษัทแม่
ทั้งนี้ ในช่วงเวลากว่า 4 ชั่วโมงครึ่งที่ Chew ขึ้นชี้แจงต่อสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว เจ้าตัวได้ปฏิเสธเรื่องที่ถูกกล่าวหา พร้อมพยายามปกป้องบริษัทอย่างเต็มที่
ด้าน Dan Ives นักวิเคราะห์จาก Wedbush Securities ในนิวยอร์กกล่าวว่า TikTok ติดอยู่ในสงครามชักเย่อทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ในขณะที่นาฬิกาเดินเข้าสู่การแบนของสหรัฐฯ และการบังคับขาย ซึ่งความกลัวคือผู้บริโภคสหรัฐฯ เริ่มเบื่อหน่ายกับปัญหาข้อมูลของจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อมูลค่าการรับรู้ของ TikTok ซึ่งในมุมมองของ Ives ทั้งหมดนี้ถือเป็นเกมโป๊กเกอร์ที่มีเดิมพันสูง
ดัชนีความมั่งคั่งของ Bloomberg แก้ไขการประมาณการมูลค่าสุทธิของ Zhang เพื่อสะท้อนความเป็นเจ้าของที่ระบุไว้ และการประเมินมูลค่าของ ByteDance ที่ลดลง
Chew อธิบายว่า Zhang ในฐานะผู้ก่อตั้ง เป็นผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ของ TikTok คือ 20% ขณะที่ Liang Rubo ผู้ร่วมก่อตั้ง ถืออยู่อีกประมาณ 1% ส่งผลให้ Liang มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ 2.1 พันล้านดอลลาร์ ส่วนที่เหลือเป็นของนักลงทุนสถาบันที่ 60% และพนักงานบริษัทที่ 20%
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนดังกล่าวยังไม่ได้รับการยืนยันจากทาง ByteDance แต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน แม้ว่า Zhang จะไม่ได้เข้ามาจัดการการดำเนินงานประจำวันของ ByteDance อีกต่อไป แต่หุ้นของผู้ก่อตั้งก็มีสิทธิออกเสียงเพื่อถ่วงดุล ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติทั่วไปในอุตสาหกรรมนี้ ซึ่ง Chew กล่าวว่า นั่นน่าจะทำให้พวกเขามีอำนาจมากขึ้นในการตัดสินใจ
ทั้งนี้ Zhang ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ ByteDance ในเดือนพฤษภาคม 2021 และลาออกจากสมาชิกคณะกรรมการในปีเดียวกัน โดยปล่อยให้ทั้งสองตำแหน่งตกเป็นของ Liang วัย 40 ปี เพื่อนร่วมห้องในวิทยาลัยของเจ้าตัว
ByteDance ก่อตั้งขึ้นในอพาร์ตเมนต์ขนาด 4 ห้องนอนเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งมูลค่าของ ByteDance เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 11 เท่า โดยมี TikTok พร้อมกับ Douyin แอปพลิเคชันคู่ของจีน เป็นดาวเด่นสร้างรายได้ให้กับบริษัท และได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศจีนรายอื่นๆ เช่น ผู้ค้าปลีก Shein Group และ Temu จาก PDD Holdings Inc. ในการก้าวขึ้นสู่แวดวงอินเทอร์เน็ตบนมือถือของสหรัฐฯ ที่ยังคงเติบโตอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ความกังวลที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐฯ เกี่ยวกับอิทธิพลของจีนได้ส่งผลกระทบต่อ ByteDance
ในขณะที่ Chew เน้นย้ำว่า TikTok ทุ่มเงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการควบคุมความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้ ผู้บริหารของบริษัทก็กำลังพิจารณาที่จะแยกตัวออกจากบริษัทแม่ด้วยเช่นกัน แต่แผนการดังกล่าวถือเป็นไม้ตายสุดท้าย
Bloomberg Intelligence ประมาณการว่าลำพังธุรกิจ TikTok ในสหรัฐฯ ก็มีมูลค่า 4-5 หมื่นล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม การขายหรือการแยกทางของ TikTok จะเท่ากับการส่งออกเทคโนโลยี และต้องได้รับการอนุมัติจากฝ่ายบริหารของจีน ซึ่งนักวิเคราะห์ BI Mandeep Singh และ Damian Reimertz มองว่า ByteDance ไม่น่าจะยอมสละแขนในสหรัฐฯ ง่ายๆ เนื่องจากอัลกอริทึมดังกล่าวเป็นพื้นฐานสำหรับความร่ำรวยของธุรกิจ และ TikTok อาจมีฐานรหัสที่ใช้ร่วมกันกับแอปอื่นๆ ของกลุ่ม และการตรวจสอบที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการดักจับข้อมูล ทำให้ TikTok อยู่ในสถานะเสียเปรียบด้านผลิตภัณฑ์ เมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียคู่แข่งในสหรัฐฯ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- BBC สั่งลบ TikTok ออกจากอุปกรณ์ของบริษัท ตามรอยรัฐบาลตะวันตก
- นิวซีแลนด์เตรียมแบนใช้ TikTok ในอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายรัฐสภา ตามรอยชาติพันธมิตรตะวันตก
- สหรัฐฯ ขู่แบน TikTok กดดัน ByteDance ขายกิจการ
อ้างอิง: