ในช่วงที่เหลือของปีนี้ เศรษฐกิจโลกอาจกำลังเผชิญ 3 ความเสี่ยงใหญ่ ได้แก่ สงครามกำแพงภาษีรอบใหม่ ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ภาวะฟองสบู่ AI และปัญหาหนี้สินทั่วโลกที่พุ่งสูงต่อเนื่อง
จนถึงขณะนี้เศรษฐกิจโลกสามารถยืนหยัดต้านทานการถาโถมของมาตรการภาษีศุลกากรจากสหรัฐฯ ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1930 ได้ เห็นได้จากผู้บริโภคชาวอเมริกันยังคงใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง หลังจากบริษัทต่างๆ ยอมดูดซับต้นทุนที่สูงขึ้นไป และกระแสความนิยมในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้จุดประกายความเชื่อมั่นของนักลงทุนขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม คำขู่รอบล่าสุดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะบังคับใช้มาตรการทางภาษีครั้ง ‘มหาศาล’ กับสินค้าจากจีน ได้จุดประกายความกลัวระลอกใหม่ว่าจะเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง ซ้ำเติมความกังวลเรื่องหนี้ภาครัฐที่พุ่งสูงขึ้นและภาวะฟองสบู่ในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
โดยย้อนกลับไป เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (ตามเวลาสหรัฐฯ) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า จะขึ้นภาษีกับจีนเพิ่มอีก 100% ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทรัมป์ส่งสัญญาณไม่ต้องการให้ความขัดแย้งทางการค้ากับจีนบานปลาย โดยกล่าวผ่านโพสต์บน Truth Social ว่า “อย่ากังวลเรื่องจีนเลย ทุกอย่างจะเรียบร้อยดี”
พร้อมระบุว่า “ประธานาธิบดีสีที่น่าเคารพ เพียงแค่กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ย่ำแย่ และเขาไม่ต้องการให้ประเทศของเขาเผชิญภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Depression) และผมก็เช่นกัน”
ความกังวลเหล่านี้คาดว่า จะเป็นหัวข้อหลักในการประชุมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางต่างๆ ซึ่งจะเดินทางมารวมตัวกันที่กรุงวอชิงตันในสัปดาห์นี้ เพื่อเข้าร่วมการประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (The World Bank and IMF Annual Meetings 2025)
จับตา! หนี้สินทั่วโลกพุ่งสูง
นอกจากนี้ หนี้สินที่พุ่งสูงขึ้นทั้งในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ จะเป็นประเด็นสำคัญในการหารือที่วอชิงตัน โดยตามข้อมูลจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ (IIF) ระบุว่า ยอดหนี้สินทั่วโลกโดยรวม (Total Global Debt) เพิ่มขึ้นมากกว่า 21 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่เกือบ 338 ล้านล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ 2
โดยขนาดของการเพิ่มขึ้นนี้เทียบเคียงได้กับการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วที่เคยเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่มาตรการเชิงนโยบายเพื่อรับมือกับการระบาดใหญ่จากโควิด ได้ขับเคลื่อนให้เกิดการก่อตัวของหนี้สินทั่วโลกในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยระยะยาวที่ปรับตัวสูงขึ้น ได้ส่งผลให้รัฐบาลหลายประเทศหันมานิยมการออกตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงกดดันทางการเมืองต่อธนาคารกลางให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
หลายฝ่ายห่วง! ความเปราะบางของกลุ่มเทคโนโลยี
นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกยังความกังวลในระยะสั้นอีกประการคือ การกลับตัวของกระแสความคลั่งไคล้ใน AI โดยเมื่อสัปดาห์ก่อน คริสตาลินา กิออร์กิเอวา กรรมการผู้จัดการ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพิ่งกล่าวเกี่ยวถึงภาวะที่ดูเหมือนจะอ้างอิงถึงภาวะฟองสบู่ดอทคอมเมื่อปี 2000
โดยระบุว่า “การประเมินมูลค่าทรัพย์สินในปัจจุบันกำลังมุ่งไปสู่ระดับเดียวกับที่เราเคยเห็นท่ามกลางกระแสความนิยมอินเทอร์เน็ตเมื่อ 25 ปีก่อน หากเกิดการปรับฐานอย่างรุนแรง ภาวะการเงินที่ตึงตัวสูงขึ้นอาจฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก เผยให้เห็นความเปราะบาง และทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรในประเทศกำลังพัฒนายากลำบากเป็นพิเศษ”
โดยในแบบจำลองของ Oxford Economics กล่าวว่า การชะลอตัวของกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐฯ จะทำให้เศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกเข้าใกล้ภาวะถดถอย และฉุดการเติบโตของเศรษฐกิจโลกให้เหลือ 2% ในปี 2026 แทนที่จะเป็น 2.5% ตามที่คาดการณ์ไว้ และยังมีความเป็นไปได้ที่จะได้รับผลกระทบหนักกว่านั้น
ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์กำลังจับตาดูความเปราะบางในภาคเทคโนโลยีมากขึ้น ควบคู่ไปกับความไม่แน่นอนที่ยังคงเชื่อมโยงกับมาตรการภาษี อเล็กซิส โครว์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ PwC US กล่าวว่า กระแสความคลั่งไคล้ใน AI ไม่จำเป็นต้องนำไปสู่กลไกการเติบโตในระยะยาวเสมอไป โดยระบุว่า “ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่ากระแสการลงทุนนี้จะนำไปสู่การปรับปรุงผลิตภาพอย่างยั่งยืน และส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่”
ภาพ: Andriy Onufriyenko / GettyImages
อ้างอิง: