×

อัยการสูงสุด ท้วง 18 ข้อแก้ไขสัญญารถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ชี้แก้หลักการเงิน อาจขัดกฎหมายวินัยการคลัง

โดย THE STANDARD TEAM
07.10.2025
  • LOADING...
สัญญารถไฟเชื่อม 3 สนามบิน

รายงานจากสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 อัยการสูงสุดได้มีหนังสือแจ้งข้อสังเกตและท้วงติงรวม 18 ข้อไปยังการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในการตรวจพิจารณาร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาร่วมลงทุน โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน โดยเน้นย้ำว่าการแก้ไขสัญญาหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการเงิน เป็นการเปลี่ยนแปลงหลักการสำคัญของโครงการและอาจส่งผลกระทบต่อภาระทางการคลังของรัฐในอนาคต

 

ประเด็นหลักที่อัยการสูงสุดท้วงติง

 

  1. เปลี่ยนหลักการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน (เงินค่าก่อสร้าง):
  • หลักการเดิม (มติ ครม. 2561): รัฐจะจ่ายเงินร่วมลงทุนเป็นรายปี หลังโครงการเปิดบริการทั้งระบบแล้ว (แบ่งจ่ายไม่ต่ำกว่า 10 ปี)
  • ร่างสัญญาแก้ไข: กำหนดให้ รฟท. จ่ายเงินร่วมลงทุนให้เอกชน ตามความแล้วเสร็จของงานโยธา ที่ รฟท. ตรวจรับมอบในแต่ละงวด
  • ข้อท้วงติง: การเปลี่ยนวิธีการชำระเงินนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงหลักการด้านการเงินของโครงการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต จึงอาจต้องเสนอเรื่องต่อ คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาอนุมัติ ตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561

 

  1. เปลี่ยนหลักการชำระค่าสิทธิ Airport Rail Link (ARL):
  • หลักการเดิม (มติ ครม. 2561): เอกชนต้องชำระค่าสิทธิ ทั้งหมดภายใน 2 ปี นับจากวันทำสัญญาก่อนที่ รฟท. จะมอบสิทธิให้
  • ร่างสัญญาแก้ไข: กำหนดให้เอกชน แบ่งชำระ 7 งวดเท่าๆ กัน และ รฟท. จะมอบสิทธิ ARL ให้เอกชนทันทีเมื่อเอกชนชำระ งวดแรก
  • ข้อท้วงติง: การแก้ไขนี้ทำให้อัยการฯ กังวลว่าเอกชนจะมีสิทธิเข้าไปดำเนินกิจการทางพาณิชย์ในสถานี ARL ทันที โดยที่ยังชำระค่าสิทธิไม่ครบถ้วน ซึ่งอาจทำให้ รัฐเสียประโยชน์จากการขาดรายได้

 

  1. ปลดภาระการจัดหาเงินทุนของเอกชนและเพิ่มความเสี่ยงของรัฐ:
  • ข้อท้วงติง: การแก้ไขสัญญาให้ภาระหน้าที่ในการจัดหาเงินทุนของเอกชน ไม่รวมถึงส่วนที่เกินกว่าเงินที่รัฐร่วมลงทุน เป็นการปลดภาระหน้าที่ของเอกชน ซึ่งทำให้ รฟท. มีความเสี่ยง ที่เอกชนอาจไม่มีเงินทุนเพียงพอต่อการก่อสร้าง และขัดกับเจตนารมณ์ของสัญญาร่วมลงทุนฯ

 

  1. การกำหนดวงเงินและระยะเวลาการชดเชยที่เพิ่มขึ้น:
  • ภาระงบประมาณ: การแก้ไขให้ รฟท. ตรวจรับและชำระเงินร่วมลงทุนทุก 3 เดือน ภายใน 2 เดือนหลังการตรวจรับ ทำให้ รฟท. อาจไม่สามารถจัดเตรียมหรืองบประมาณไว้ล่วงหน้า และ ระยะเวลา 2 เดือนอาจไม่เพียงพอต่อการเบิกจ่าย
  • ค่าชดเชยกรณีเลิกสัญญา: การเปลี่ยนค่าชดเชยจากเดิมที่กำหนดให้จ่ายเท่ากับ ‘มูลค่าทางบัญชี’ เป็น ‘เงินที่รัฐร่วมลงทุนที่ยังไม่ได้ชำระ’ อาจทำให้รัฐต้องรับภาระจ่ายค่าชดเชยให้เอกชนคู่สัญญาเพิ่มขึ้นกว่าที่กำหนดไว้เดิม

 

  1. ความล่าช้าและการลดมูลค่าหลักประกัน:
  • ความล่าช้า: การขยายระยะเวลาส่งมอบเอกสารสัญญาว่าจ้างก่อสร้างจาก 60 วัน เป็น 270 วัน เปิดโอกาสให้การเริ่มต้นก่อสร้างล่าช้า และส่งผลกระทบต่อโครงการอื่นที่เกี่ยวข้อง (เช่น รถไฟไทย-จีน, โครงการอู่ตะเภา)
  • หลักประกัน: อัยการฯ ท้วงติงว่า การปรับลดมูลค่าหนังสือรับประกันไม่สอดคล้องกับความเสี่ยงของรัฐที่เพิ่มสูงขึ้น จากการที่รัฐต้องเริ่มชำระเงินตั้งแต่ช่วงก่อสร้าง นอกจากนี้ การจำกัดสิทธิ รฟท. ให้บังคับใช้หลักประกันได้เฉพาะกรณีเลิกสัญญาเพราะความผิดของเอกชนคู่สัญญาเท่านั้น อาจทำให้รัฐได้รับความเสียหายจากความชำรุดบกพร่องในภายหลัง

 

อัยการสูงสุดได้เรียกร้องให้ รฟท. พิจารณาทบทวนการแก้ไขสัญญาดังกล่าว โดยคำนึงถึงประโยชน์และความเสียหายของรัฐเป็นสำคัญ และควร หารือร่วมกับ สกพอ. เพื่อให้การแก้ไขสัญญาสอดคล้องกับโครงการอื่นที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ EEC และกำหนดมาตรการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการแก้ไขสัญญาโดยไม่รอบคอบ

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising