7 เดือนนับจากวันที่คมเคียวพญามัจจุราชเกี่ยวเข้าที่คอในระหว่างศึกฟุตบอลยูโร 2020 แต่สุดท้ายด้วยความช่วยเหลือจากทีมแพทย์ท่ามกลางกำลังใจจากคนทั่วโลกที่ภาวนาพร้อมกันจนรอดชีวิตได้ราวปาฏิหาริย์ วันนี้ คริสเตียน อีริกเซน พร้อมที่จะกลับคืนสู่วงการฟุตบอลอีกครั้งแล้ว
แม้ว่าการกลับมาครั้งนี้จะไม่ใช่การร่วมทีมระดับยักษ์ใหญ่สมกับสถานะและฝีเท้าที่เป็นหนึ่งในตัวทำเกมที่ดีที่สุดของโลกในปัจจุบัน แต่สำหรับกองกลางวัย 29 ปี สโมสรเล็กๆ อย่างเบรนท์ฟอร์ดคือทีมที่ใช่ในหลายๆ เรื่อง
โดยเฉพาะสิ่งสำคัญที่สุดคือ ‘ความเชื่อใจ’ ระหว่างสโมสรกับนักฟุตบอลผู้มีเครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจ (Implantable Cardioverter-Defibrillator: ICD) ติดไว้ที่ตัว
เพราะปัญหาใหญ่ที่เป็นอุปสรรคสำหรับอีริกเซน คือการหาสโมสรที่มีความเชื่อมั่นในตัวของเขามากพอว่าจะสามารถกลับมาเล่นฟุตบอลในระดับสูงสุดได้ หลังรอดจากเหตุการณ์ที่อาจจะเป็นโศกนาฏกรรมที่เศร้าที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์วงการกีฬา
หลังเหตุการณ์ในระหว่างเกมทีมชาติเดนมาร์กกับทีมชาติฟินแลนด์ อีริกเซนได้ผ่านการตรวจร่างกายอย่างละเอียด และได้ผ่าตัดติดตั้งเครื่อง ICD ตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อเป็นการป้องกันหากเกิดกรณีที่หัวใจของกองกลางพรสวรรค์รายนี้เกิดหยุดทำงานดื้อๆ อย่างน้อยก็จะมีคนช่วยปลุกให้กลับมาทำงานอีกครั้ง
อีริกเซนไม่ใช่นักฟุตบอลคนแรกที่ติดตั้งเครื่องนี้ ก่อนหน้านี้ ดาลีย์ บลินด์ แบ็กซ้ายเพื่อนเก่าในทีมอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัมเองก็เคยเกิดอาการวูบและต้องติดตั้งเครื่องช่วยชีวิตเหมือนกัน แต่ก็สามารถกลับมาโลดแล่นในวงการฟุตบอลได้จนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี สำหรับประเทศอิตาลี เลกา กัลโช ไม่อนุญาตให้นักเตะที่ติดตั้งเครื่องมือนี้ลงเล่นได้ ทำให้สุดท้ายอินเตอร์ มิลานต้องขอแยกทาง ให้อีริกเซนเป็นอิสระและหาต้นสังกัดใหม่ ซึ่งแม้จะมีหลายทีมที่สนใจ แต่ทีมเดียวที่จริงจังคือเบรนท์ฟอร์ด
โดยเหตุผลสำคัญที่ทำให้สโมสรน้องใหม่พรีเมียร์ลีกที่สร้างความประทับใจในช่วงต้นฤดูกาลแต่เริ่มจะต้องคิดถึงการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดอยากได้อีริกเซนมาร่วมทีมนั้น เกิดจากสายสัมพันธ์ระหว่างสตาร์ทีมชาติเดนมาร์กกับ โธมัส แฟรงก์ นายใหญ่ของทีม
ทั้งสองรู้จักกันมานานแล้วตั้งแต่ครั้งที่อีริกเซนยังเป็นนักเตะทีมชาติเดนมาร์กชุดเยาวชนอายุต่ำกว่า 17 ปี ซึ่งแฟรงก์เป็นโค้ชของทีมชุดนั้น ดังนั้นในยามที่ดาวเตะผู้โชคดีในความโชคร้ายต้องการใครสักคนที่จะเปิดประตูให้เขากลับเข้าสู่วงการอีกครั้งก็ไม่มีใครจะเหมาะไปกว่าครูเก่าแล้ว
“ผมรอที่จะได้ร่วมงานกับคริสเตียนอีกครั้ง ซึ่งมันก็นานมากแล้วตั้งแต่ที่ผมเคยสอนเขา มีหลายสิ่งเกิดขึ้นหลังจากนั้น ในตอนนั้นคริสเตียนเพิ่งอายุ 16 ปีเอง ก่อนที่เขาจะกลายเป็นหนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีก เขาเคยคว้าถ้วยแชมป์มากมายทั่วยุโรป และเป็นดาวเด่นของทีมชาติเดนมาร์ก
“เราได้โอกาสที่เหลือเชื่อในการจะดึงนักเตะระดับเวิลด์คลาสมายังเบรนท์ฟอร์ด เขาไม่ได้ซ้อมร่วมกับทีมเป็นเวลา 7 เดือน แต่เขาก็ลงฝึกซ้อมด้วยตัวเอง เขาฟิตแต่เราต้องทำให้เขาฟิตพอจะลงเล่นได้ และผมรอที่จะได้เห็นเขาร่วมงานกับนักเตะและสตาฟฟ์ของเราเพื่อที่จะช่วยทำให้เขากลับคืนสู่ระดับที่ดีที่สุดอีกครั้ง
“ในช่วงที่ฟอร์มดีที่สุด คริสเตียนมีความสามารถที่จะบงการเกมได้สบายๆ เขาสามารถเลือกผ่านบอลได้อย่างถูกต้องเสมอและสร้างความอันตรายในเกมรุก เขายังเก่งในลูกเซ็ตพีซอย่างมากทั้งจากลูกเตะมุมหรือลูกฟรีคิก เขาเป็นผู้เล่นที่เราจะเห็นเขาอยู่กับบอลและสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี คริสเตียนจะนำประสบการณ์ของนักเตะระดับสูงมาสู่สโมสรแห่งนี้ ผมคาดหวังว่าเขาจะมีอิทธิพลต่อทั้งภายในทีมและยามฝึกซ้อม”
ขณะที่ทางด้าน ฟิล กิลส์ ผู้อำนวยการสโมสรเบรนท์ฟอร์ด เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมของดีลนี้ว่า มีความสนใจตั้งแต่ที่รู้ว่าอีริกเซนจะอำลาอินเตอร์ มิลาน ซึ่งแน่นอนว่าด้วยสภาพร่างกายของเขาทำให้เกิดคำถามสำคัญขึ้นเกี่ยวกับกระบวนการตรวจสอบ แต่เบรนท์ฟอร์ดได้ดูแล้วและมั่นใจว่าอีริกเซนอยู่ในสภาพร่างกายที่ดีพร้อมสำหรับการจะกลับมาลงแข่งอีกครั้ง
สำหรับอีริกเซน ผู้ที่ตั้งเป้าจะนำทีมชาติเดนมาร์กลงสนามในศึกฟุตบอลโลก 2022 ช่วงปลายปีนี้ รวมถึงอยากจะกลับไปติดทีมชาติเพื่อลงเล่นในพาร์เคน สเตเดียม สนามที่หัวใจของเขาเคยหยุดเต้นที่นั่นจนเจ้าตัวบอกเองว่าเขา ‘ตายไป 5 นาที’ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาไม่ยอมแพ้และกลับมาได้ สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดคือโอกาสจากคนที่จะเชื่อใจเขาสักครั้ง
วันนี้เบรนท์ฟอร์ดและแฟรงก์ยินดีที่จะเปิดประตูให้เขากลับมา ที่เหลือก็อยู่ที่อีริกเซนเองแล้วว่าจะพิสูจน์ให้เห็นได้ไหมในระยะเวลา 6 เดือนหลังจากนี้ ว่าเขาคือคนเดิม เพิ่มเติมแค่อุปกรณ์ชิ้นหนึ่งในร่างกายแค่นั้น
อ้างอิง: