วันนี้ (19 มกราคม) ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร (กทม.) ศาลได้นัดตรวจหลักฐานคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.180/2564 ที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.อ. ธิติสรรค์ หรือโจ้ อุทธนผล (ผกก.โจ้) กับพวกรวม 7 คน เป็นจำเลย ในข้อหาดังนี้
- กระทำผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
- เป็นเจ้าพนักงานของรัฐร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
- ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมาน หรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย
- ร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 157, 288, 289 (5), 309 วรรค 2 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 4, 172
สืบเนื่องจาก จิระพงศ์ ธนะพัฒน์ ผู้เสียชีวิต ซึ่งถูกจับและควบคุมไว้ในคดียาเสพติด และถูกฆ่าถึงแก่ความตายขณะอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงาน เมื่อช่วงระหว่างวันที่ 4-6 สิงหาคม พ.ศ. 2564 ที่สถานีตำรวจภูธร (สภ.) นครสวรรค์ โจทก์ โจทก์ร่วม และเบิกตัวจำเลย 1-7 มาจากเรือนจำ รวมทั้งทนายจำเลยทั้งหมดมาศาล
ศาลได้ตรวจพยานหลักฐาน และให้โจทก์ โจทก์ร่วม จำเลย 1-7 และทนายจำเลยตรวจสอบแล้ว
โดยจำเลยทั้ง 7 รับข้อเท็จจริงว่า ช่วงเกิดเหตุจำเลยทั้ง 7 ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่สืบสวน จับกุม ปราบปราม ตามกฎหมาย เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ในวันเกิดเหตุได้จับกุม จิระพงศ์ ธนะพัฒน์ และ กนกวรรณ คล้ายนิ่ม (ภรรยาของผู้เสียชีวิต) หลังจากพบหลักฐานเป็นยาเสพติดประเภท 1 เมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ด หรือไอซ์จำนวน 300 กรัม จากนั้นชุดจับกุมได้มีการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของจิระพงศ์ พบว่ามีภาพถ่ายกล่องใส่ยาเสพติดจำนวนมาก จึงได้ไปค้นบ้านพักซึ่งเป็นของบิดาจิระพงศ์ แต่ไม่พบหลักฐาน ต่อมาจำเลยที่ 1-7 ได้พาจิระพงศ์มาสอบสวนขยายผลที่ห้องปฏิบัติการพิเศษยาเสพติด 05 และจำเลยที่ 1 ได้นำถุงพลาสติกจำนวนหลายใบมาคลุมหัวของจิระพงศ์ และจำเลยที่ 2-7 อยู่ในห้องขณะเกิดเหตุ และจำเลยที่ 1-7 รับว่ากล้องที่บันทึกภาพและภาพที่ปรากฏจำเลยที่ 1-7 เป็นตนเองที่ใส่ชุดในวันเกิดเหตุตามเอกสารหลักฐานในเอกสาร
ศาลได้นัดกำหนดสืบพยานทั้งหมด 23 ปาก โดยกำหนดวันที่ 19-21 กุมภาพันธ์ 2565 และ 5-6, 12-13 มีนาคม 2565 อย่างไรก็ตาม วันนัดเดิมวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565 ต้องยกเลิกเนื่องจากศาลย้ายที่ทำการใหม่ไปที่แขวงฉิมพลี เขตตลิ่งชัน กทม.
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการตรวจหลักฐาน พ.ต.อ. ธิติสรรค์ หรือโจ้ จำเลยที่ 1 ใส่ชุดนักโทษสีน้ำตาลอ่อน หน้าตาเคร่งขรึมตลอดการพิจารณา ได้แถลงต่อศาลว่า วันที่เกิดเหตุยอมรับว่าได้ทำการคลุมถุงดำจำนวนหลายใบกับจิระพงศ์จริง แต่ไม่ได้ตรึงบีบรัดให้แน่นจนขนาดขาดอากาศหายใจ เพียงแต่ทำให้กลัว และขอให้ศาลช่วยตรวจสอบคลิปที่ส่งไปในครั้งแรก เนื่องจากมีการตัดต่อคลิปนำภาพการพยายามช่วยชีวิตจิระพงศ์ และคลิปภาพตำรวจบางนายที่อยู่ในที่เกิดเหตุออกไป และให้การเท็จว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ เนื่องจากเจ้าของคลิปมีส่วนรู้เห็น และตนได้ส่งคลิปเต็มผ่านทางทนายให้ศาลพิจารณาแล้ว
โดยศาลแจ้งว่าคลิปทั้งหมดศาลจะนำไปเป็นวัตถุพยานหลักฐาน หากจำเลยเห็นต่างก็ให้ว่ากันในชั้นพิจารณา และหากเห็นว่าเมื่อสืบพยานทั้งหมดที่นัดแล้วยังได้ข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วน ศาลอาจจะพิจารณาเพิ่มพยานในภายหลังได้
ต่อมา โชคชัย อ่างแก้ว ทนายความของ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ เปิดเผยว่า มีนัดสืบพยานนัดแรกวันที่ 19-20 กุมภาพันธ์ โดยคดีนี้มีนัดสืบพยานทั้งหมด 7 นัด นัดสุดท้ายวันที่ 13 มีนาคม ตอนนี้คดีอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลแล้ว ตนก็ทำหน้าที่ในฐานะของทนายความ ระบบไต่สวน เป็นระบบที่ศาลแสวงหาข้อเท็จจริง อะไรที่ไม่พอ เดี๋ยวศาลจะดูเอง