หน้าตาที่น่ารัก รอยยิ้มมีเสน่ห์ อารมณ์ดี และฉากจูบฝังใจ น่าจะเป็นภาพจำอันดับแรกๆ ที่หลายคนนึกถึง นิว-ฐิติภูมิ เตชะอภัยคุณ จากบทบาทต่างๆ ที่ทำให้เขาค่อยๆ แจ้งเกิดในวงการบันเทิงจาก Kiss the Series, Kiss Me Again, SOTUS The Series และ Water Boyy The Series ฯลฯ
แต่ถ้ามองลงไปให้ลึกกว่านั้น ผ่านเสียงหัวเราะที่เขาปล่อยออกมาอยู่บ่อยครั้งตลอดการให้สัมภาษณ์ เราจะเห็นถึง ‘ความตั้งใจ’ ของคนที่ดูภายนอกเหมือนไม่คิดอะไรมาก แต่ภายในนั้นเต็มไปด้วยแพสชันในการพัฒนาตัวตนขึ้นไปสู่จุดที่ดีกว่า
นิวคือตัวแทนของวัยรุ่นยุคใหม่ที่ยอมเสียสละเวลาบางส่วน เพื่อทุ่มเทให้กับการเรียนปริญญาโทไปพร้อมกับการทำงานที่เขารัก (ที่มีงานสัปดาห์ละ 7 วัน!) และอีกหลายสิ่งอย่างที่เขาอยากเรียนรู้และพัฒนาตัวเองต่อไป
เวลาต้องทำอะไรหลายหน้าที่พร้อมๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน หรือแม้แต่การเรียนดนตรีเพิ่มเติม การมี ‘ตัวช่วย’ ที่ดีบางอย่างก็นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญ เพื่อบูสต์ร่างกายที่อ่อนล้าให้ทำอะไรหลายๆ อย่างได้ด้วยพลังงานเต็มเปี่ยม
ตั้งแต่สมัยเด็กๆ เคยมีความฝันอะไรมาบ้าง ก่อนมาเป็นนักแสดงอย่างทุกวันนี้
ตอนเด็กมี 2 ความฝัน คือ ตอบตามที่เด็กๆ พูดคล้ายกันคือ อยากเป็นหมอ กับอีกหนึ่งความฝันคือ อยากเป็นนักธุรกิจเหมือนคุณพ่อ แต่ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยมีสมาธิกับการอ่านหนังสือนานๆ แล้วถ้าจะเป็นหมอจะต้องมีช่วงสอบที่อ่านหนังสือเยอะๆ เลยคิดว่าไม่น่าจะเหมาะเท่าไร แต่ถ้าเป็นพวกวิชาที่ใช้การคำนวณอย่างเลขหรือฟิสิกส์ ผมจะถนัดมากกว่า ก็เลยเลือกเรียนวิศวะฯ แทน เพราะคิดว่าถ้าเรียนในสิ่งที่ถนัด ชีวิตน่าจะสุขสบายมากกว่า (หัวเราะ) คือยังรู้สึกว่าหมอเป็นอาชีพมั่นคงและเจ๋งมากๆ อยู่ แต่ผมก็มีความคิดว่า ไม่เป็นไรถ้าเราเก่งจริง ไม่ว่าจะเรียนหมอ เรียนวิศวะฯ หรืออะไรก็ตาม เราก็ต้องทำได้ดีและมั่นคงได้เหมือนกัน
ทำไมถึงเลือกเรียนวิศวะฯ ไฟฟ้า
เพราะคิดว่าไฟฟ้าคือสิ่งสำคัญของทุกๆ ที่ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้าง อาหาร สิ่งของเครื่องใช้ต้องใช้ไฟฟ้าเหมือนกันหมด ถ้าเรียนสาขานี้เราจะนำไปต่อยอดได้หลายอย่าง แล้วจุดเด่นของไฟฟ้าอีกอย่างคือ มีตัวเลขเยอะครับ เป็นสิ่งที่เราชอบและถนัดอยู่แล้ว ก็เลยคิดว่าถ้าเลือกสาขานี้เราน่าจะสามารถเรียนได้อย่างสุขสบาย สบายอีกแล้ว ดูเหมือนเป็นคนรักความสบายเลยเนอะ (หัวเราะ)
แต่จริงๆ เป็นเรื่องดีมากเหมือนกันนะครับ พอได้เข้าไปเรียนก็รู้สึกเลยว่าคิดถูกมากที่เลือกเรียนทางนี้ ตอนปี 1 ที่ต้องเรียนรวมยังไม่เท่าไร แต่พอแยกสาขาออกมาเรียนไฟฟ้าแบบเต็มๆ นี่ โอ้โห มีความสุขมาก ผมว่าพื้นฐานการพาตัวเองไปอยู่ในสิ่งที่เราชอบ ถนัด ไม่ต้องฝืนตัวเอง ก็เป็นเรื่องสำคัญมากๆ ในการตัดสินใจเรื่องอนาคตมากเลยนะ เพราะถ้าเรียนสาขาอื่นผมคงตายเหมือนกันนะ (หัวเราะ)
มีแนวคิดทางวิศวกรรมศาสตร์เรื่องไหนบ้างไหม ที่สามารถเอามาปรับใช้กับวงการบันเทิงได้
จริงๆ ทุกอย่างเกี่ยวข้องและสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หมดนะครับ แต่ที่ชัดสุดคงเป็นเรื่องที่เขาสอนให้เราคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล อย่างแรกคือ พอเรามีวิธีคิดแบบนี้ ทำให้เวลาอ่านบทแล้วเราสามารถทำความเข้าใจกับตัวละครได้ง่ายขึ้น เพราะเราจะพยายามคิดให้ลึกลงมากกว่าสิ่งที่เขาอยู่ ไปถึงว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้แสดงออกมาแบบนั้น แต่มันก็แอบมีเสียข้อเหมือนกันคือ บางทีเวลาเข้ากองถ่าย ผมดันไปติดการใช้เหตุและผลมากเกินไปเลย จนลืมอารมณ์ของตัวละครที่ต้องแสดงออก จนทีมงานต้องบอกบ่อยๆ ว่า เฮ้ย อย่าใช้เหตุผลมาก ให้ใช้อารมณ์บ้างก็ได้ (หัวเราะ) ช่วงแรกๆ ก็ต้องปรับตัวเยอะเหมือนกัน แต่พอปรับได้ก็ง่ายขึ้นเยอะ
แล้ววิธีคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล ก็เอามาช่วยในการบริหารจัดการเวลาได้ดีขึ้น เพราะคนเรามีเวลาเท่ากัน คือวันละ 24 ชั่วโมง อยู่ที่ว่าใครจะจัดการได้มีประโยชน์สูงสุด อย่างของผมจะแบ่งเป็น 3 อย่าง คือ หนึ่ง หน้าที่การงานหลักๆ เป็นความรับผิดชอบที่เราไม่ต้องแบ่งเวลาไป เพราะมันคือสิ่งที่เราต้องทำอยู่แล้ว
ส่วนที่สองที่ต้องแบ่งเวลาให้ดีคือ การพัฒนาตัวเอง แต่ละคนก็จะมีวิธีต่างกันไป ของผมที่ทำงานในวงการ ก็เช่น เข้าฟิตเนส ดูแลร่างกาย อ่านหนังสือ ดูหนัง ฝึกเล่นดนตรี ส่วนที่สามคือการพักผ่อน ที่สำคัญมากๆ เหมือนกันนะ มันจะต้องมีวันที่งานหนักมาก จนไม่มีเวลาไปดูแลตัวเองหรือพักผ่อน แต่ถ้าเราอยากอยู่วงการนี้ไปนานๆ เราจะทิ้งการพัฒนาตัวเองและพักผ่อนไม่ได้เด็ดขาด มันเป็นเรื่องยากเหมือนกันนะ แต่พื้นฐานการคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลช่วยได้ เพราะเราจะชั่งน้ำหนักได้ตลอดเวลา ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ
งานในวงการก็เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่นิวก็ยังไปเรียนปริญญาโทเพิ่มขึ้นอีก
ผมอาจจะเป็นคนไฮเปอร์ก็ได้นะ (หัวเราะ) อาจเป็นเพราะผมคิดถึงอนาคตเยอะมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วอย่างที่บอกว่ามีความฝันอยากเป็นนักธุรกิจ ก็คิดว่าการเรียน MBA เอาไว้ น่าจะเอามาเป็นพื้นฐานต่อไปได้ แต่ตอนที่ผมลงเรียน เพราะตอนนั้นมีงานประมาณ 4 วันต่อสัปดาห์ ยังมีอีก 3 วันว่างอยู่ คงเอาไปเรียนได้ แต่ปรากฏว่าตอนหลังๆ กลายเป็นมีงานเต็มทั้ง 7 วันต่อสัปดาห์ ตอนนี้ล่ะครับที่แนวคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล การจัดการเวลาของตัวให้ดีที่สุด อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ก็สนุกและท้าทายดีเหมือนกัน
คุณเรียนรู้อะไรได้บ้าง จากความเหนื่อยทั้งหมดที่ได้รับในวัย 25 ปี
รู้สึกว่าชีวิตมีค่าครับ ตอนเด็กๆ เราเคยขอเงินพ่อแม่ใช้ แล้วก็สงสัยว่าเราจะเกิดมาทำไมวะ จะเกิดมากินๆ แล้วก็นอนแค่นี้เหรอ แต่พอได้ทำงาน ได้หาเงินเอง แล้วได้ทำอะไรที่มันมีประโยชน์กับคนอื่นไปด้วย มันก็ยิ่งรู้สึกว่า เออ เราเกิดมาเพื่อทำงาน เราเกิดมาเพื่อสร้างคุณค่าและตอบคำถามตัวเองให้ได้แบบนี้
อย่างวงการบันเทิง ยอมรับว่า ตอนเข้ามาก็เพราะอยากหางานทำ แต่ตอนนี้คำตอบเปลี่ยนไป กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ผมยังทำงานตรงนี้ไปคือความสนุก ได้เจอเพื่อนร่วมงาน ได้เล่นละคร ซีรีส์ เมื่อก่อนถ้าต้องตื่นเช้ามาอ่านหนังสือสอบจะรู้สึก โอ๊ย ไม่อยากทำ แต่ถ้าเป็นไปกองถ่ายคือ เฮ้ย เราอยากไป อยากตื่นเช้าไปทำงาน
นิวมีตัวช่วยอะไรบ้างไหม กับช่วงเวลาที่ต้องทำงานหนักหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน
บอกก่อนว่าไม่ต้องเป็นช่วงงานหนักผมก็กินอยู่แล้วนะ (หัวเราะ) เป็นพวกชอบหาอะไรที่มาส่งเสริมการทำงานของร่างกาย อย่างแบรนด์ เจนยู เจนโปร ก็ใช่ ผมชอบเพราะเหมือนได้บูสต์ให้ไปทำกิจกรรมได้ต่อ
เป้าหมายที่วางไว้เพื่อพัฒนาตัวเองในวงการบันเทิงขั้นต่อไปของนิวคืออะไร
เล่นดนตรีครับ ไม่ต้องมองไกลเลย พยายามมานานแล้ว แต่ยังไม่เคยได้สักที (หัวเราะ) อยากเล่นกีตาร์มากที่สุด ความชอบก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่คิดว่าถ้าเราเล่นได้ จะเป็นทักษะเพิ่มเติมที่เอาไปใช้ในอนาคตได้ในสักวันหนึ่ง
อยากรู้ว่าวงการนี้มอบอะไรให้กับนิวบ้าง เพราะดูนิวเป็นคนที่มีความตั้งใจพัฒนาตัวเอง เพื่อก้าวต่อไปในเส้นทางสายนี้ต่อไปได้ให้มากเหมือนกันนะ
นอกจากหน้าที่การงาน ความสุข ความสนุก โอกาส และความท้าทาย คือเป็นวงการที่มีเรื่องให้ผมต้องเรียนรู้ตลอดเวลา อย่างตอนนี้สิ่งผมเรียนรู้คือเรื่องของความอ่อนน้อมถ่อมตน เพราะมันมีปัจจัยหลายอย่างที่พร้อมจะเข้ามาสปอยล์ให้เราลอยหรือเสียคนตลอดเวลา สิ่งที่ผมพยายามทำมาตลอดคือ กดตัวเองลงมาให้อยู่ต่ำที่สุด เราแค่มีคำว่าดารา นักแสดงเพิ่มขึ้นมาอีกตำแหน่ง แต่ข้างในเรายังเป็นนิวคนเดิมที่ไม่ใช่ยอดมนุษย์ที่ไหน เรากดตัวเองให้ต่ำตั้งแต่แรกดีกว่า ที่จะลอยไปที่สูงๆ แล้วถูกอะไรสักอย่างตบให้ตกลงมา ผมว่าแบบนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าอีกนะ
อีกคำพูดหนึ่งที่จริงมากๆ และนำมาใช้ได้อยู่เสมอคือ คำว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้านะครับ มีคนที่ดีกว่าเรา เก่งกว่าเรา ประสบความสำเร็จกว่าเราอยู่แล้ว แล้วสิ่งที่จะทำให้เราเจ็บมากคือ เวลาไปเจอคนที่โคตรเก่งแบบนั้น แต่เขาทำตัวต่ำกว่าเราอีก บางคนที่แบบ เฮ้ย เดี๋ยวก่อน เฮียจะลงไปขนาดนั้นทำไม (หัวเราะ) ซึ่งผมก็มีคนเหล่านี้แหละเป็นไอดอล และคิดว่าเพราะการพยายามทำตัวให้เขาเป็นคนธรรมดาที่สุดนี่แหละ ที่ทำให้เขายังเป็นซูเปอร์สตาร์มาได้ถึงทุกวันนี้
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล