ส่งท้าย 4 ปี คสช. ผ่านรายการ THE STANDARD Daily ที่ต้องการเปิดพื้นที่ให้ผู้ชมได้รับฟังทุกฝ่าย กับบทสัมภาษณ์ 2 โฆษกจากรัฐบาล และ คสช.
สนทนาผ่านเส้นเรื่อง ภายใต้ธีม ‘4 ปีประเทศไทยใต้เงา คสช.’ กับ เสธ. ไก่อู พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ประกบคู่มากับ เสธ. เล็ก พลตรี ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 และทีมโฆษก คสช.
ลองไปฟังดูว่าความสำเร็จของ คสช. ผ่านสายตา 2 โฆษก มีอะไรบ้างในห้วง 4 ปีที่ผ่านมา แล้วที่ยังไม่สำเร็จ มีอุปสรรคอะไรกันแน่ ตลอดจนคำถามถึงความรู้สึกต่อสถานการณ์บ้านเมืองวันนี้และวันข้างหน้า พร้อมกับคำถามตรงๆ ว่าถ้าต้องเลือกตั้ง อยากให้ ‘พลเอก ประยุทธ์’ เป็นนายกฯ ต่อไหม
ก่อนอื่น อยากให้ทั้งสองท่านนิยามตัวเอง และแนะนำตัวก่อน
พลโท สรรเสริญ – กระผมพลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถ้าไม่เป็นทางการก็เรียกว่า ไก่อู หรือแล้วแต่คนจะเรียกเช่น อู ไอ้อู สุดแล้วแต่อารมณ์ เป็นผู้ชายชอบออกกำลังกาย รักครอบครัว ชอบอยู่กับหมา ชอบเพลงลูกทุ่ง
พลตรี ปิยพงศ์ – ผมพลตรี ปิยพงศ์ กลิ่นพันธ์ุ เป็นทีมโฆษกของ คสช. ชื่อเล่น เล็ก ชีวิตส่วนใหญ่ก็อยู่ต่างจังหวัด 2 ปีมานี้เพิ่งมาอยู่ในกรุงเทพฯ ก็เป็นทหารบ้านนอกที่เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ
เป็นเตรียมทหารรุ่นเดียวกัน
พลตรี ปิยพงศ์ – รุ่นเดียวกัน เป็น นตท.รุ่นที่ 23 นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้ารุ่นที่ 34 เป็นรุ่นเดียวกัน แต่พี่ไก่อูเรียนเก่งกว่า เลือกที่ลงก่อน ผมก็เลือกทีหลังก็ไปอยู่แถวๆ ชายแดน การทำงานพี่ไก่อูก็จะมีประสบการณ์การทำงานการเมืองที่เกี่ยวข้องกับระดับนโยบายมาเป็นสิบๆ ปี มีประสบการณ์มากกว่า มียศพลโทก็มีความอาวุโสกว่า อยู่ในสถาบันด้วยกัน 7 ปี
ถามพลโท สรรเสริญ เป็นโฆษกมาตั้งแต่ยุค คมช. มาเป็นโฆษกกองทัพบก จนถึงยุคของ ศอฉ. แล้วก็ คสช. แล้วก็มาเป็นโฆษกรัฐบาล เป็นอันไหนยากที่สุด
พลโท สรรเสริญ – รัฐบาลสมัยนี้นี่แหละครับ สาเหตุเพราะว่าสมัยก่อนเป็นงานเกี่ยวกับด้านความมั่นคง เรื่องตั้งแต่ปี 49 มันเป็นเรื่องของทหารและความมั่นคงล้วนๆ ซึ่งอยู่ในสายเลือด แต่คราวนี้ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สังคม ต้องไปอ่านเพิ่ม ท่อง ต้องเข้าใจ ต้องท่องจำ และเล่าเรื่องต่อได้ รู้สึกอลหม่านอยู่ตลอดเวลา
ล่าสุดต้องทำการบ้านเพื่อมาเล่าเรื่องอะไรครับ
พลโท สรรเสริญ – สองสามวันนี้ก็ทอล์กออฟเดอะทาวน์เรื่องน้ำมัน เรื่องภาษีที่จะเพิ่มขึ้น เรื่องที่ปล่อยข่าวว่าท่านนายกฯ ได้บอก น้ำมันแพงก็ไปเติมน้ำเปล่าสิ อะไรประมาณนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถ้าเราใช้ดุลพินิจเราก็จะรู้ว่ามันไม่จริง แต่โลกโซเชียลมันไปได้เร็ว และมีคนปั่นกระแสด้วย ว่ามันดูน่าเชื่อถือ
ของพลตรี ปิยพงศ์ ก็ดูแลด้านความมั่นคง
พลตรี ปิยพงศ์ – มันก็ต้องดูนโยบายของผู้บังคับบัญชาว่าได้ให้ไว้อย่างไรบ้าง ไปอธิบายสังคมก็ควรสอดคล้องกับสิ่งที่ผู้ใหญ่ได้พูด เราก็คงต้องติดตามฟังทั้งนโยบายข่าวสารข้อมูลประกอบ อะไรที่เราต้องอธิบายเราก็ต้องแนบไปด้วยความแม่นยำถูกต้อง บางทีก็ต้องอ่านหนังสือด้วยแต่ไม่หนักเท่าพี่ไก่อู แต่แกนหลักคือเรื่องความมั่นคง การดำเนินการขอ งคสช. ในการสนับสนุนให้รัฐบาลสามารถบริหารราชการแผ่นดิน ดูแลประชาชนได้อย่างราบรื่น ฉะนั้นอะไรที่เกี่ยวกับความมั่นคง การบริหารจัดการในระหว่างนั้น เราก็ต้องอธิบายไปว่าตอนนั้นเขาทำอะไรไป
อย่างกรณีกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง เราก็อธิบายก่อนว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ดำเนินการ ใช้กฎหมายปกติ มีขั้นตอนปฏิบัติอย่างนี้ เราก็ต้องอธิบายข้อเท็จจริงไปในระยะเวลานั้นๆ ซึ่งมีความสำคัญ
ท่านเป็นคนคาดหวังว่ามันจะดี มันจะต้องไปได้ มันจะต้องแก้ไขได้ ดังนั้นเราในฐานะที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย เป็นน้องด้วย ก็ตั้งใจทำเต็มที่ ส่วนมันจะดีไม่ดีเจ๋งไม่เจ๋งก็ไม่ว่ากัน
ทุกวันนี้รับคำสั่งจากนายกฯ ในฐานะหัวหน้าของ ครม. โดยตรงหรือเปล่าครับ
พลโท สรรเสริญ – ใช่ครับ นอกจากที่เราต้องเก็บรวบรวมคิดเองแล้ว นายกฯ ก็กรุณาสั่งการเพิ่มเติมด้วย เพราะว่าท่านเหนือมนุษย์ มีความรู้สึกว่าท่านสนใจทุกเรื่องทุกอย่าง ท่านแบกไว้หลายเรื่อง
ท่านเป็นคนคาดหวังว่ามันจะดี มันจะต้องไปได้ มันจะต้องแก้ไขได้ ดังนั้นเราในฐานะที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย เป็นน้องด้วย ก็ตั้งใจทำเต็มที่ ส่วนมันจะดีไม่ดีเจ๋งไม่เจ๋งก็ไม่ว่ากัน
ลองพูดแบบอารมณ์น้องพูดถึงพี่ ไม่ได้เกี่ยวกับการเป็นทหารนะ นายกฯ เป็นคนอย่างไร
พลโท สรรเสริญ – ตัวพี่อาจจะโชคดี ท่านไม่ค่อยโมโห แต่ท่านนายกฯ เป็นคนที่อยู่ที่ไหนก็เป็นคนอ่านง่าย เพียงแต่ว่าโชคดี อาจจะไม่โดนท่านดุ เพราะว่าท่านคงไม่อยากให้เรารู้สึกเกร็ง เสียขวัญ แล้วก็อึดอัด
นายกฯ ไม่ชอบให้มาถามอยู่ตลอดเวลา ว่าเรื่องนี้เอาไง เพราะทุกคนมีสมองก็ต้องช่วยกันคิด ถ้าทำตามสั่งอย่างเดียวก็ไม่รู้จะเอาไว้ทำไม ท่านเป็นคนรับฟัง เราบอกท่านได้ ทักท้วงได้
เพียงแต่ว่าทหารก็จะมีลักษณะอยู่แบบหนึ่ง เราเป็นน้อง เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา จะเล่าเรื่องอะไรให้ผู้บังคับบัญชาฟังจะไปด้นประมาณสัก 5 นาที 10 นาที มันคงจะไม่ไหว มันก็ต้องหาวลีสั้นๆ หรืออธิบายความสั้นๆ ให้ท่านสามารถเข้าใจและก็รู้เรื่องได้ มันเป็นเรื่องที่เป็นทุกคน ถ้าพูดกับทหารก็ต้องอย่างนี้ เวลาพูดกับผู้บังคับบัญชาต้องสั้นๆ ชัด ได้ใจความ
พลตรี ปิยพงศ์ – ท่านเป็นคนชอบอ่านหนังสือและใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ท่านระมัดระวังในเรื่องของการแสดงออกในหลายๆ เรื่อง การดูแลตัวเอง หรือการรักษาภาพลักษณ์ ภาพพจน์ ก็ถือว่าเป็นผู้บังคับบัญชา เป็นพี่ที่เป็นตัวอย่างที่ดีในยุคปัจจุบัน
ไม่กล้าอธิบายว่าท่านจะลงการเมืองหรือไม่ลง แต่ถ้าท่านจะลงก็สุดแท้แต่ท่าน เป็นสิทธิของท่าน
ถามตรงไปตรงมา ถ้าต้องเลือกตั้ง อยากให้ท่านนายกฯ เป็นนายกฯ ต่อไหม
พลตรี ปิยพงศ์ – ให้ผมตอบใช่ไหม คือผมอาจไม่ค่อยสันทัดในเรื่องของงานการเมืองนะครับ เพียงแต่ว่าเรามองว่าปัญหาบ้านเมืองน่าจะยังมีอยู่พอสมควร ที่ต้องการการแก้ไข แล้วก็ต้องดูว่าใครที่จะสานต่องานที่กำลังดำเนินงานมาได้ แล้วก็ไปได้ เพื่อนำพาชาติบ้านเมืองผ่านช่วงเวลาสำคัญเหล่านี้ เราก็ต้องนิยม คือเราอาจจะใกล้ชิดกับท่านมาพอสมควร รู้ความรู้สึกของท่าน คือความจริงใจที่จะทำอะไรให้เกิดประโยชน์กับชาติบ้านเมืองหรือคนในประเทศ แล้วก็มองอนาคต ส่วนความรู้สึกส่วนตัว ก็… มันก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี ที่เราสนับสนุนผู้นำประเทศที่จะนำพาประเทศไปในทางที่ดี ส่วนความคิดเห็นของคนอื่นๆ หรือตัวท่านเอง ผมก็ขออนุญาตไม่ไปก้าวล่วง อันนี้อาจจะเป็นความรู้สึกส่วนตัวของผม
พลโท สรรเสริญ – ถามว่าอยากให้ท่านเป็นนายกฯ ต่อไหม อยาก แต่ไม่รู้ว่าครรลองวันข้างหน้าเป็นอย่างไร แต่ถ้าถามส่วนตัวนะ อยาก อยากเพราะว่าผู้บังคับบัญชาเรา พี่เรา ทุ่มเทตั้งใจที่จะทำ ไม่ค่อยเห็นเยอะนักนะที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงรู้เกือบทุกเรื่อง รู้แบบเข้าใจ ไม่มั่ว ไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก แล้วก็ไม่ใช่เจ๋งแต่ลีลาหรือคำพูด แต่พยายามทำตามที่พูดจริงๆ มีความเด็ดขาดถ้าจำเป็นต้องเด็ดขาด ถ้าในช่วงเวลาที่จำเป็นต้องช้าๆ ได้พร้าสองเล่มงามก็สามารถทำได้ ดังนั้นถ้าถามส่วนตัวอยากให้เป็นไหม ถ้าชาติบ้านเมืองมันดีขึ้นก็อยากให้เป็นนะ
ไม่เป็นห่วงท่านเหรอว่าท่านเหนื่อย
พลโท สรรเสริญ – นอนแล้วก็หาย อาบน้ำแล้วก็หาย คิดว่าแบบนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องผลักดันให้เป็นนะ ถามส่วนตัวก็ตอบส่วนตัว ไม่กล้าอธิบายว่าท่านจะลงการเมืองหรือไม่ลง แต่ถ้าท่านจะลงก็สุดแท้แต่ท่าน เป็นสิทธิของท่าน
แต่แน่นอนว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับการเข้ามายึดอำนาจของ คสช. ก็บอกว่าอาสาเข้ามาเองนี่ ในเมื่อต้องเข้ามาอย่างนี้ก็ต้องเหนื่อยหรือเปล่า
พลโท สรรเสริญ – ก็ไม่ได้ปฏิเสธไง ไม่ได้ปฏิเสธว่าเหนื่อยแล้วไม่สู้ เหนื่อยแล้วสู้
ถามว่า ไม่เข้ามาได้ไหม ถ้ามันมีวิถีทางอื่นที่จะทำได้ ก็ไม่ได้อยากเข้ามา มันมีวิธีอื่นไหมล่ะ วันที่บ้านเมืองมันเกิดปัญหาวุ่นวายเมื่อปี 57 เข้ามาปุ๊บปั๊บเลยหรือเปล่า หรือว่าทิ้งเวลาเนิ่นนาน มาจนทุกคนเกิดความรู้สึกว่าอ่อนล้า มันจะไปอย่างนี้อีกนานเท่าไร จึงเข้ามามิใช่หรือ
พลตรี ปิยพงศ์ – ในสถานการณ์แบบนั้น ผมว่าถ้าเป็นใครก็ต้องคิดเหมือนกัน ต้องนำพาชาติบ้านเมืองให้พ้นจากวิกฤต พ้นจากการต้องมาทะเลาะเบาะแว้ง ลอบทำร้ายกันด้วยอาวุธ ละเมิดกฎหมาย มันทำหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นจนรู้สึกว่าบ้านเมืองเราบอบช้ำกันขนาดนี้หรือ เราก็รู้สึกถึงหลายๆ ส่วน
แล้วการที่ผู้บัญชาการทหารบกหรือผู้บัญชาการกองทัพได้ตกลงใจไปครั้งหนึ่ง ผมเห็นว่าท่านก็ได้วิเคราะห์ประมวล คิดอย่างรอบคอบแล้ว ต่อการที่เอาตนเองเข้าไปตัดสินปัญหาต่างๆ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ มันก็เป็นจุดวิกฤตหนึ่งที่นำไปสู่การตัดสินใจครั้งสำคัญ แล้วก็ทำให้กองทัพต้องเข้ามามีส่วนร่วมเข้าแก้ปัญหาบ้านเมืองจนมาถึงเวลานี้
แต่ว่าโอเคล่ะ ความเป็นประชาธิปไตยของคนอาจมีความรู้สึกว่าเข้ามาไม่ถูกต้องก็ได้ ต้องถามคำถามกลับว่าแล้วเวลานั้น เราจะแก้ปัญหาอย่างไร หรือปล่อยให้ประเทศเดินไปอย่างไร ยัง ยังไม่มีใครตอบตรงนี้ว่า ก็ปล่อยให้เสียหายไป บ้านเมืองพัง ทะเลาะเบาะแว้งเข่นฆ่ากัน หรือว่าปิดกั้นถนนอยากทำอะไรก็ทำ เอายางรถยนต์มากั้น อยากจะก่อไฟตรงนู้น จุดไฟตรงนี้ นึกทำอะไรไม่เคารพกฎหมาย ไม่ฟังใคร ความเป็นคนไทยที่อาจมีบรรพบุรุษรากเหง้าเดียวกันด้วยซ้ำก็มาทะเลาะเบาะแว้งกันในรุ่นเรา มาฆ่าแกงกันโดยไม่ได้โกรธไม่ได้เกลียดชังอะไรเลย จากคิดเห็นต่างกันเท่านั้นเอง เราจะปล่อยให้เป็นอย่างนั้นเชียวหรือ แล้วใครจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ได้
มองย้อนไปก็เข้าใจ ว่าตอนนั้นมีคนสนับสนุนเชียร์ให้มีใครสักคนออกมาดูแลเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นใครไม่ได้ถ้าไม่ใช่ทหาร แต่ ณ วันนี้ มัน 4 ปีแล้วครับ ถ้าเป็นการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยก็ครบเทอมแล้ว ถ้าจะไปเลือกกุมภาพันธ์ปีหน้า มันก็จะ 4 ปีกว่า ในมุมของทั้ง 2 ท่าน ในฐานะตัวแทน คสช. คิดว่าพอหรือยัง หรือมีปัญหาอีกเยอะที่คิดว่ามันยังไม่พอ
พลตรี ปิยพงศ์ – ผมอาจจะตอบว่าพอ หรือ ไม่พอ ไม่ได้ แต่เรากำลังเดินไปภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับที่ได้ทำประชามติมาแล้ว และเป็นรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ แล้วบรรยากาศของความปรองดองมันก็ค่อยๆ เดินหน้าไปดีขึ้น เราไม่ต้องมาคว้ามีดไล่ฟันกันกลางถนน มาทำร้ายทำลายกัน
ถามว่าทำอย่างไร เราแยกหน่วยที่ดูแลเรื่องนี้ออกจากกัน ระหว่างหน่วยปฏิบัติกับหน่วยกำกับดูแล ถ้าเราเป็นคนปฏิบัติแล้วเรากำกับดูแลตัวเองมันจะได้มาตรฐานไหม ไม่ได้มาตรฐานแน่
มีคนยอมรับว่า 4 ปีที่ผ่านมามันสงบ ไม่มีสีเสื้อ ไม่มีคนออกมาทะเลาะกัน แต่นอกจากเรื่องนี้ มีอะไรอีกที่เป็นผลงานที่รัฐบาล คสช. ทำสำเร็จ
พลโท สรรเสริญ – ถ้าพูดเรื่องผลงานต้องคุยกันถึงเช้ามืด อย่าง ICAO มาตรฐานความปลอดภัยในการบิน สมัยก่อนรัฐบาลนี้เข้ามาปัญหามันมีอยู่แล้ว เพียงแต่มันปะทุเพราะก่อนหน้านี้มันไม่มีการแก้ไขปัญหา วันนี้เราแก้ไขแล้ว ทำให้ ICAO รู้สึกสบายใจกับเรา ผ่อนคลายกติกาลงแล้ว
ถามว่าทำอย่างไร เราแยกหน่วยที่ดูแลเรื่องนี้ออกจากกัน ระหว่างหน่วยปฏิบัติกับหน่วยกำกับดูแล ถ้าเราเป็นคนปฏิบัติแล้วเรากำกับดูแลตัวเองมันจะได้มาตรฐานไหม ไม่ได้มาตรฐานแน่
คนปฏิบัติต้องคนหนึ่ง คนกำกับดูแลให้ตามกฎต้องอีกคนหนึ่ง วันนี้เราทำแล้ว
เรื่องประมง สมัยก่อนเรามีความรู้สึกว่าเราอยากออกทะเล อยากจับอะไรก็จับได้ไม่ว่ากัน
แต่สหภาพยุโรปกำหนดว่าถ้าประเทศไทยยังไม่ทำตามกติกาที่โลกเขายอมรับวันหน้าคุณจับปลาได้เท่าไรคุณต้องกินให้หมดภายในประเทศ
แล้วถามว่ามันยากไหมในการทำให้พี่น้องประมงในทะเลที่รู้สึกว่า ฉันทำผิดอะไร อยู่ดีๆ ฉันต้องทำประมงน้อยลง เลิกทำประมง มันเป็นสิ่งที่ยากแต่ทำสำเร็จ ถ้าไม่ใช่รัฐบาลนี้ทำยาก
แรงงานต่างด้าว สมัยก่อนมีลูกจ้างในบ้านเรา นายจ้างอาจวิตกกังวลว่าจะเอามีดมาปาดคอเราแล้วก็หนีหาย ขณะเดียวกันลูกจ้างต่างด้าวก็กังวลว่ามาทำงานในไทยเขาจะกดขี่เราไหม เขาจะเห็นว่าเราเป็นมนุษย์ที่หายใจมีชีวิตเหมือนกันไหม วันนี้ความรู้สึกเหล่านั้นหมดไป เพราะทุกคนอยู่ในระบบ ง่ายหรือยาก แรงงานต่างด้าว 3 ล้านคน วันนี้ขั้นตอนต่างๆ กำลังเดินไป นี่ใช้เวลาอธิบายแค่ 3 เรื่องนะ
จริงๆ ก็ไม่อยากพูดจะหาว่าไปซ้ำเติมเขา แต่ว่ามันเป็นโครงการที่ทำลายกลไกการผลิตสินค้าหลักของประเทศคือ ข้าว จะปลูกอะไรมาก็ได้ ข้าวดีไม่ดี ข้าวเจ๋งไม่เจ๋งได้ 15,000 หมด แล้วก็ได้สตางค์ในกระเป๋า ทุกคนรู้สึกมีความสุข แต่วันนี้ไม่ใช่ เราปลูกพืชโดยเอาการตลาดเป็นตัวนำ
อันไหนที่ภูมิใจที่สุด
พลโท สรรเสริญ – ภูมิใจทุกเรื่อง
พลตรี ปิยพงศ์ – การจัดระเบียบสังคม การทวงคืนคลองโอ่งอ่างเป็นคลองแรก เราเห็นสะพานเหล็ก การทวงคืนผืนป่า ทรัพยากรสาธารณะมากกว่า 4-5 แสนไร่ การขุดลอกคูคลอง มีการจัดที่ดินทำกินให้กับประชาชนคนยากจน ที่อยู่อาศัยสำหรับคนในชุมชนเมืองแฟลตดินแดงที่กำลังจะเข้าอยู่อาศัยในเร็วๆ นี้ การจัดระเบียบคลองลาดพร้าว การจัดระเบียบวินมอเตอร์ไซค์ รถแท็กซี่ รถรับจ้างสาธารณะ รถตู้ รวมทั้งเรื่องหวยที่ลงมาควบคุมให้ได้ 80 บาท
แต่ก็เอาล่ะ ยังมีบ้างที่ทำไม่สำเร็จ เร็วๆ นี้จะมีการจัดระเบียบรถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะเป็นรอบที่ 3 ที่จะเอาแอปพลิเคชันมาใช้ ทำให้ถูกกฎหมาย ยาเสพติดที่จับได้มากขึ้นก็แปลว่ามีมาตรการที่เข้มข้นขึ้น การกวาดล้างอาวุธสงคราม ผู้มีอิทธิพล หลายเรื่องเราก็เห็นได้
พลโท สรรเสริญ – อีกเรื่องคือการจัดระบบขนส่งคมนาคม ในอดีตคนไม่อยากจะขึ้นรถไฟ แต่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าคนจะใช้มากขึ้น ไม่ว่าจะรถไฟความเร็วสูงหรือรถไฟทางคู่
การช่วยเหลือคนจนผู้มีรายได้น้อย ไม่ใช่หว่านแห สมัยก่อนรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี ฝรั่งขึ้นฟรี คนมีเงินขึ้นฟรี คนไม่มีเงินก็ขึ้นฟรี ปัจจุบันคนได้รับความช่วยเหลือคือคนมีรายได้น้อยเท่านั้น เพราะขึ้นไปแล้วเอาบัตรรูด เราไม่ได้ช่วยแบบหว่านแห แต่เราช่วยแบบตรงตัวตรงคน
บัตรรัฐสวัสดิการซื้อของ อาจจะเงินไม่เยอะนัก เพราะว่าไม่มีอะไรหรอกที่เราสามารถจะดูแลชีวิตคนคนหนึ่งในประเทศไทยให้มันสบายไปตลอดชาติ
มันก็ต้องบรรเทาเบาแรงเบาความทุกข์ลงไปได้บ้าง เพราะฉะนั้นก็ใส่เงินลงไปในระบบ ก็เอาไปรูดสิ่งของที่จำเป็น
ทำไมไม่ให้เงินสด เพราะว่าเอาให้ไป บางคนอาจไปซื้อบุหรี่ ซื้อเครื่องดื่มชูกำลัง ซึ่งมันไม่จำเป็น แต่ใช้บัตร คุณซื้อได้เฉพาะสิ่งของอุปโภคบริโภคที่จำเป็นแก่ชีวิต
กลับกันบ้าง ทีนี้มีอะไรที่ทำไม่สำเร็จ คือพยายามอยู่แต่มันไม่สำเร็จ
พลโท สรรเสริญ – มีครับ เรื่องสร้างเขื่อน ยังสร้างเขื่อนไม่สำเร็จเพราะยังมีเสียงต่อต้าน ซึ่งเราก็ไม่ได้ตำหนิ เพียงแต่ว่ามันต้องคำนึงถึงความเป็นจริง เราเปิดใจยอมรับฟังเหตุผลซึ่งกันและกัน
เรื่องโรงงานไฟฟ้าเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก เราต้องแยกว่าโรงงานไฟฟ้าที่เกิดจากพลังงานหลัก กับพลังงานทดแทน
พลังงานหลักมีอะไรบ้าง มีน้ำมัน แก๊ส ถ่านหิน นิวเคลียร์ โดยน้ำมัน แก๊ส เรามีหลายโรงแล้ว และเราฝากชีวิตไว้กับ 2 อย่างนี้ไม่ได้ แต่นิวเคลียร์เราพร้อมแล้วหรือยัง ถ่านหินพอจะทำก็มีปัญหากัน เราก็ต้องฝากชีวิตไว้กับน้ำ ลม แสงแดด ซึ่งปัจจุบันเราก็รู้ว่าสภาพอากาศมันไม่แน่นอน
‘พี่ตู่’ บอกเสมอว่า เหนื่อยเดี๋ยวก็หาย ทำเพื่อชาติ คนเก่งมีเยอะแต่คนได้รับโอกาสมีไม่เยอะ เมื่อมีโอกาสมาถึงแล้วจงทำให้เต็มกำลัง
ภาพแถลงข่าวที่ทำเนียบรัฐบาล ในฐานะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
4 ปีที่ผ่านมาสิ่งที่เราได้ยินมากที่สุดคือคำว่าปฏิรูป อะไรบ้าง ที่เราปฏิรูปสำเร็จ หรือเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว
พลโท สรรเสริญ – ปฏิรูปแปลว่าอะไร แปลว่าจากหน้ามือเป็นหลังมือก็ใช่ จากหน้ามือค่อยๆ ตะแคงมือก็ใช่ เพราะฉะนั้นการปฏิรูปคือการเปลี่ยนแปลง จะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ หรือค่อยๆ เปลี่ยนแปลงก็สุดแล้วแต่ สมัยก่อนเราพูดถึงเรื่องเกษตรเราก็ต้องได้ยินว่าใครอยากปลูกข้าวก็ปลูกข้าวกันใหญ่แล้วก็มีโครงการ
จริงๆ ก็ไม่อยากพูดจะหาว่าไปซ้ำเติมเขา แต่ว่ามันเป็นโครงการที่ทำลายกลไกการผลิตสินค้าหลักของประเทศคือ ข้าว จะปลูกอะไรมาก็ได้ ข้าวดีไม่ดี ข้าวเจ๋งไม่เจ๋งได้ 15,000 หมด แล้วก็ได้สตางค์ในกระเป๋า ทุกคนรู้สึกมีความสุข แต่วันนี้ไม่ใช่ เราปลูกพืชโดยเอาการตลาดเป็นตัวนำ
ปลูกอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องข้าวอย่างเดียว แต่ขอให้ขายได้ราคาดี โดยเฉพาะพืชที่ใช้น้ำน้อย หรือเลี้ยงสัตว์ อันนี้คือการปฏิรูปด้านเกษตร แล้วมีหลายอย่างที่เราเริ่มให้ความสนใจมากขึ้น เช่น พืชปลอดสารพิษ เพราะมีคนชอบอาหารชีวจิต ซื้อแล้วไห้ราคาสูงขึ้น อย่างนี้เรียกว่าปฏิรูปได้ไหม
เรื่องการคมนาคมวันนี้ รถไฟทางคู่กำลังเริ่มดำเนินการก่อสร้าง อย่างนี้เรียกว่าปฏิรูปไหม สรุปโดยรวมมันไม่มีอะไรหรอกที่บอกว่า 4 ปี เสร็จไม่เสร็จ มันบอกไม่ได้ การปฏิรูปมันมีการปฏิรูปไปเรื่อยๆ เพราะสถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ การปฏิรูปที่ผ่านมาบางอย่างเสร็จไปแล้ว บางอย่างเราทำในอดีต แต่ยังไม่เสร็จเราต้องทำต่อ บางอย่างเรากำลังจะเริ่มทำ บางอย่างเราวางแผนจะทำในอนาคต
พลตรี ปิยพงศ์ – ปฏิรูปกองทัพนี่ปฏิรูปไปเยอะเลย เอาที่ตัวบุคคล กำลังพลในกองทัพถูกเข้มงวดกวดขันเรื่องวินัย การทำงานร่วมกับส่วนราชการอื่น ภาคประชาชน การแสดงออกถึงความเป็นข้าราชการที่ดี การทำงานตามกรอบระยะเวลาตามอำนาจหน้าที่ การเคารพกฎหมาย แล้วกองทัพก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่โต ลดขนาด ลดอะไรหลายๆ ส่วน การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่จะมาใช้ในการป้องกันประเทศก็พิจารณาจากภัยคุกคามที่ต้องการดูแล เกิดการปฏิรูปไปด้วย
เพียงแต่ถามว่าวันนี้เสร็จหรือยัง ยังไม่เสร็จหรอก พอถึงเวลาเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์มันก็ต้องปฏิรูปไปอีก มันก็ต้องพัฒนาไปอีก เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการมีอาวุธไว้ใช้มันอาจมีราคาแพงขึ้น จำนวนน้อยลง ขนาดกองทัพเล็กลง จำนวนทหารประจำการอาจลดขนาดลง ในการที่จะเอากองหนุนรักษาดินแดนมาใช้มันก็มีพัฒนาการตามระยะเวลา
พลโท สรรเสริญ – อย่างเรื่อง พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ ไปติดต่อราชการวันนี้เร็วขึ้น ปฏิรูปการศึกษา มีกฎหมายรัฐธรรมนูญเขียน 12 ปี วันนี้ คสช. ออกคำสั่ง เรียนฟรี 15 ปี ตั้งแต่อนุบาลจนถึง ม. 6 นอกจากนั้นวัยเด็กลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ เลิก 2 โมงครึ่ง 3 โมง ไม่ได้ปล่อยกลับบ้าน แต่ให้ทำกิจกรรมกับพี่กับน้องกับครูกับเพื่อน จะได้ไม่มีความรู้ท่วมหัวแล้วเอาตัวไม่รอด เรียนชั้นมัธยมต้น เขาเริ่มสอนวิชาชีพ จะได้ฉุกคิดว่าจะเรียนสายสามัญต่อหรือไปเรียนหลักสูตรอาชีวะ ช่างกล ในสายวิชาชีพ เพราะปัจจุบันเป็นสาขาที่ทำรายได้ดี และเป็นตลาดแรงงานที่ประเทศไทยยังขาด มีการเรียนการสอนแบบทวิภาคี คือเอาโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ใกล้โรงเรียนช่างกลมาออกแบบการเรียนการสอนให้ เรียนจบรับเข้าทำงานเลย ปัจจุบันพ่อแม่ที่ลูกหลานเรียนอาชีวะไม่ต้องเอามือก่ายหน้าผากเหมือนสมัยก่อน
อาจมีคนไม่เชื่อสิ่งที่ คสช. ทำ มันไม่มีการปฏิรูปขนาดนั้น มันไม่ได้เห็นผลขนาดนั้น เรามีวิธีการจัดการกับข้อมูลอย่างไรในฐานะโฆษก
พลโท สรรเสริญ – ของจริงหรือไม่จริง มันดูกันได้ในสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นอย่างนี้จะบอกเป็นอย่างอื่นมันเป็นไปไม่ได้ แรงงานต่างด้าวที่เราจัดระเบียบ 3 ล้านกว่าคนในไทย บอกปฏิรูปแรงงานไม่สำเร็จ ตรงไหนไม่สำเร็จ ดังนั้นข้อมูลที่ปล่อยมาในสังคมมันจริงไม่จริง อยากให้พี่น้องประชาชนใช้วิจารณญาณ อย่าอ่านแต่ข้อมูล ดูสิ่งที่เกิดขึ้น ฟังทั้งสองด้าน สิ่งที่เขาบอกไม่จริง ไม่จริงเพราะอะไร เห็นอะไรถึงบอกว่าไม่จริง แล้วที่รัฐบาลกับ คสช. บอกว่าจริง เขาชี้อะไรให้ดู ถ้าเปิดใจกว้างๆ เชื่อในสิ่งที่เห็น รับรองว่าท่านได้พบกับความจริง
เจอเรื่องเครียดๆ ใส่เข้ามาในสมอง คนที่ด่าเรา วิพากษ์วิจารณ์เราแรงๆ มีวิธีรับมือกับความเครียดความหนักหน่วงแบบไหน
พลโท สรรเสริญ – มันก็เครียดนะ ของมันเครียดจะทำให้มันไม่เครียดก็เป็นไปไม่ได้ แต่ว่าก็อย่าไปเครียดนาน เดี๋ยวตายเร็ว ไม่อยากเครียดนาน แต่ก็ต้องเครียด ถามว่าทำไมต้องทำ หน้าที่ ภาระหน้าที่ ผู้บังคับบัญชา นายกฯ
‘พี่ตู่’ บอกเสมอว่า เหนื่อยเดี๋ยวก็หาย ทำเพื่อชาติ คนเก่งมีเยอะแต่คนได้รับโอกาสมีไม่เยอะ เมื่อมีโอกาสมาถึงแล้วจงทำให้เต็มกำลัง
เหนื่อยนอนเดี๋ยวก็หาย อาบน้ำเดี๋ยวก็หาย ตอบสั้นๆ หนึ่งทำเพื่อชาติ สองพี่ หรือผู้บังคับบัญชาสั่ง พวกเราศรัทธาก็ทำตามนั้น ทำเต็มกำลัง
ทุกวันนี้ทำอย่างไรให้หายเครียดครับ
พลตรี ปิยพงศ์ – ใหม่ๆ ก็เครียด ตอนหลังๆ ก็มีเวลาให้กับตัวเองบ้าง ก็ต้องคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุมีผลของตัวเองเช่นกันว่าต้องอดทน ต้องมีสติ ตอนหลังๆ ก็เข้าใจมากขึ้น และยอมรับที่จะถูกคนอื่นต่อว่าในความที่เขาไม่เห็นด้วย การด่าทอ เราก็รับฟังแล้วก็อะไรที่ใช่ ตามหลักพุทธศาสนาก็เอาไปแก้ไข อะไรที่ไม่ใช่ก็อย่าไปรับ
พลโท สรรเสริญ – มีอีกเรื่องหนึ่งนะ เคยฟังพี่ที่เคารพนับถือ ชื่อพี่สมชัย เพียรสถาพร อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ โทรมาให้กำลังใจเสมอ บอกว่า
“อู ต้องท่องไว้ 3 คำ ในบางโอกาส ช่างมัน ช่างมึง ช่างกู นินทากับสรรเสริญเป็นของคู่กัน เป็นของลวงโลก เป็นความเพลิน อย่าเสียใจเมื่อไม่ได้ยิน อย่าช้ำใจเมื่อได้ยิน อย่าเสียใจเมื่อได้ฟัง อย่าช้ำใจเมื่อไม่ได้ฟัง”
5 ปีเกษียณแล้ว วางแผนตัวเองหลังจากนั้นอยากทำอะไร
พลโท สรรเสริญ – พัก เที่ยว ทำในสิ่งที่อยากทำ ชดเชยสิ่งที่ขาดไป สงสารภรรยา ก็อยากพาไปเที่ยวบ้าง
พลตรี ปิยพงศ์ – ก็คงท่องเที่ยว เพราะว่าไม่ค่อยได้ไปไหน ไม่ค่อยมีโอกาสเดินทางไปไหน ตั้งแต่เป็นชั้นผู้น้อยจนมาถึงปัจจุบัน ส่วนมากมีเทศกาลก็ต้องอยู่ ก็อยากพาครอบครัวไปพักผ่อน อยากจะเป็นอย่างนั้น
เกษียณแล้ว ไม่อยากทำการเมือง
พลโท สรรเสริญ – ใจ ไม่รัก แต่ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าเป็นอย่างไร ภารกิจหน้าที่ถ้าผู้บังคับบัญชาสั่งก็ฟัง แต่โดยส่วนตัวแล้วไม่เอา
เกษียณแล้ว ไม่ต้องฟังผู้บังคับบัญชาแล้วสิครับ
พลโท สรรเสริญ – ความเป็นพี่เป็นน้องมันไม่มีหมด มันจะอยู่กันตราบชั่วชีวิต
ถูกด่าเสียใจเป็นธรรมดา แต่ไม่เป็นไร ด่าได้ เพราะว่าเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ก็ช่างมัน ช่างกู ช่างมึง
อยากฝากอะไรถึงประชาชน
พลโท สรรเสริญ – ผมไม่ใช่นักการเมือง ไม่ได้รักการเมืองเลย แต่มาเพราะพี่ให้มา ผู้บังคับบัญชาให้มา แล้วก็เป็นหน้าที่ที่พวกเราต้องทำ ตั้งใจทำเต็มที่ ทุ่มเททุกอย่าง ดีไม่ดีไม่กล้าประเมินตนเอง ให้ชาวบ้านประเมิน แล้วก็ตั้งใจทำหน้าที่ต่อไปจนกระทั่งถึงวันหนึ่งที่หมดภารกิจ แล้วก็จะจากไป
อยากทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำบ้างวันข้างหน้า จัดรายการเพลงลูกทุ่ง ไปเที่ยวบ้าง อุ้มหมาบ้าง กอดเมียบ้าง พาไปเที่ยวที่อยากไปบ้าง ก็เท่านี้ล่ะครับ ชีวิตคน ถีบก็รู้สึกเจ็บ เตะก็รู้สึกเจ็บ ถูกด่าเสียใจเป็นธรรมดา แต่ไม่เป็นไร ด่าได้ เพราะว่าเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ก็ช่างมัน ช่างกู ช่างมึง
พลตรี ปิยพงศ์ – ความสุขส่วนหนึ่งที่ได้มาทำหน้าที่ตรงนี้ ก็ในบางโอกาสที่เราได้พูดคุยชี้แจงกับสังคม กับพี่น้องประชาชนแล้วเป็นไปตามที่เราชี้แจงเราก็ดีใจ มีความสุข
ถ้าทั้งคู่มีพรวิเศษ หรือมีอำนาจสักอย่างหนึ่ง อยากเปลี่ยนแปลงอะไรในประเทศไทยมากที่สุดครับ
พลโท สรรเสริญ – อยากให้ประเทศไทยเป็นไทยนิยม จริงๆ ไทยนิยมใครจะอธิบายอย่างไรไม่รู้ แต่ส่วนตัวรู้สึกว่ามันเป็นความฝันของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่าอยากให้ประเทศไทยเป็นไทยนิยม เจริญก้าวหน้า มีความสุขตามอัตภาพ ไม่ทะเลาะกัน เคารพกฎหมาย ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไปด้วยกันด้วยวิถีพอเพียง
พลตรี ปิยพงศ์ – อยากให้ทุกเช้าตื่นขึ้นมาเปิดเพลงบ้านเกิดเมืองนอน
Photo: The Standard Daily