เวที Young Leader Dialog ในงาน THE STANDARD Economic Forum 2025 กับเซสชั่น ‘Justice City: design for a better world’ เป็นการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมและการออกแบบจาก KMITL ได้แก่ ดร.พร้อม อุดมเดช, ดร.เอกเทพ ไมเกิ้ล และ ดร.พิมภัคคนิจ ปริสัญญุตานนท์
พวกเขาได้ร่วมกันถอดรหัสว่าทำไมเมืองที่เราอยู่จึงยังไม่สามารถตอบโจทย์คุณภาพชีวิตที่ดีและเท่าเทียมได้ โดยชี้ว่าปัญหาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การขาดโครงสร้างพื้นฐาน แต่อยู่ที่ระบบและนโยบาย” ที่ต้องเริ่มต้นใหม่จากการมอบอำนาจ และข้อมูลที่โปร่งใสให้กับประชาชน
เมืองที่ยุติธรรม ไม่ใช่การแจกของให้คนเท่ากัน
ภาพจำเดิมๆ ของความเท่าเทียมนั้นถูกต้องจริงหรือ?
ดร.พิมภัคคนิจ เปิดประเด็นว่า ความยุติธรรมไม่ใช่การแจกของเท่ากันให้ทุกคน นั่นคือความเท่าเทียมแบบตายตัว แต่แก่นแท้ของ Justice City คือการออกแบบที่คำนึงถึง ‘คน’ และ ‘บริบท’ ที่แตกต่างกันเป็นหลัก
ในขณะที่ดร.พร้อม เสนอเลนส์การมองที่น่าสนใจ โดยชวนให้เราลองมองเมืองเสมือนคนหนึ่งคน แล้วตั้งคำถามว่ากรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ กำลังถูกปฏิบัติอย่างยุติธรรมหรือไม่ เช่น การเผชิญกับ PM 2.5 หรือปัญหาความเท่าเทียมทางเพศ
ด้านดร.เอกเทพ ขมวดปมว่า ปัญหาคือหลายครั้งคนเมืองเองก็คุ้นชินกับสิ่งที่เจอมาตลอดชีวิต จนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิทธิที่เราควรได้รับจริงๆ นั้นคืออะไร
เมื่อเมืองขวางกั้นชีวิต แทนที่จะโอบอุ้ม
เมื่อชวนวาดภาพเมืองในอุดมคติ ทั้งสามท่านได้เสนอภาพที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง สะท้อนสิ่งที่ขาดหายไปในปัจจุบัน
ดร.เอกเทพ ชี้ว่าทุกวันนี้การพักผ่อน ในเมืองกลายเป็นกิจกรรมที่ต้องเสียเงิน เช่น การเข้าไปนั่งในร้านกาแฟ เมืองที่ดีจึงควรมีพื้นที่ให้คนได้พักผ่อนโดยไม่ต้องจ่ายเงินเพื่อให้เกิดการพบปะกันในชีวิตจริงโดยไม่ต้องควักกระเป๋า
ดร.พิมภัคคนิจ เสริมว่า เมืองที่ดีต้องทำให้เราเติบโตไปพร้อมกับเมืองได้ ทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ และต้องรู้สึกปลอดภัย ซึ่งความปลอดภัยนี้อาจไม่ได้มาจากเสาไฟฟ้าที่สว่างจ้า แต่มาจากการมีเพื่อนบ้านที่ดีคอยสอดส่องดูแลกัน
แต่ภาพฝันนี้กลับสวนทางกับความจริง ดร.พร้อม ชี้ว่าเมืองที่ดีอาจไม่จำเป็นต้องเอื้อประโยชน์มากมาย แต่หัวใจสำคัญคือต้องไม่ขัดขวางการใช้ชีวิต เช่น การต้องใช้เวลาเดินทางไป-กลับ ลาดกระบัง-นนทบุรี วันละ 4 ชั่วโมง ซึ่งไม่ใช่แค่การจราจรติดขัด แต่มันคือการที่เมืองกำลังกัดกินชีวิต และเวลาที่ผู้คนควรจะได้ไปทำอย่างอื่น
เมื่อเมืองขาดข้อมูล และละเลยประสบการณ์
อุปสรรคสำคัญที่ทำให้เมืองไทยไม่ยุติธรรม ไม่ใช่การขาดแคลนสิ่งก่อสร้าง แต่คือปัญหาเชิงโครงสร้างที่มองไม่เห็น
ดร.เอกเทพ ชี้ว่าเรามักมุ่งเน้นไปที่ “Infrastructure” (โครงสร้างที่มองเห็น) แต่กลับละเลยการออกแบบ “System” (ระบบ) และ “Experience” (ประสบการณ์) ที่ดี เช่น ประสบการณ์การข้ามถนนที่ปลอดภัย หรือการออกแบบเมืองที่คำนึงถึงสุขภาพจิตของคน
ดร.พิมภัคคนิจ ระบุว่า การละเลยสิ่งเหล่านี้เกิดจากการขาดข้อมูลผู้ใช้ที่หลากหลาย เช่น ปัจจุบันเมืองมีกลุ่มคนที่เป็น Pet Parents มากขึ้น แต่เมืองไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับ สุดท้ายจึงทำให้เกิดโครงการที่ ‘คนที่คิดไม่ได้ใช้ คนที่ใช้ไม่ได้คิด’ ขึ้นมากมาย
ดร.พร้อม ตอกย้ำประเด็นเรื่องข้อมูลว่า ปัญหาไม่ใช่แค่ขาดข้อมูล แต่คือข้อมูลที่มี ‘จับต้องไม่ได้’ เขายกตัวอย่างงานวิจัย UNICEF ที่พบว่าข้อมูลการซ่อมบำรุงโรงเรียนรัฐทั่วประเทศ ยังคงมีเอกสารเป็นปึกกองอยู่ที่โรงเรียน ทำให้การพัฒนาระดับประเทศเป็นไปได้ยากมาก
ข้อเสนอถึงผู้มีอำนาจ
ข้อเรียกร้องที่ชัดเจนจากเวทีนี้คือการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย ผู้มีอำนาจต้องเปิดใจรับฟังคนรุ่นใหม่ ไม่มองว่าการแสดงความเห็นคือการเถียง และต้องสื่อสารผลกระทบในอนาคตอย่างจริงใจ ขณะเดียวกัน ประชาชนเองก็ต้องตระหนักว่าตนเองมีสิทธิ์มีเสียงเช่นกัน
การขับเคลื่อนประเทศไปสู่ Justice City หรือเมืองที่ยุติธรรม อาจไม่ได้เริ่มจากภาครัฐ แต่ต้องมาจากการผลักดันจากภาคเอกชนและท้องถิ่น โดยมีจุดเริ่มต้นจากการที่ภาครัฐยอมรับฟัง และส่งมอบข้อมูลที่โปร่งใส และอำนาจในการมีส่วนร่วมกลับคืนสู่มือของคนในเมือง เพื่อให้พวกเขาได้ร่วมออกแบบชีวิตและอนาคตของตนเองอย่างแท้จริง


