วันที่ 5 พ.ย. 2568 ศ.นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวบนเวที Strengthening Thailand’s Healthcare for a Global Medical Hub เสริมฐานรากระบบสุขภาพไทยปูทางสู่ศูนย์กลางการแพทย์โลก ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ถึงสถานการณ์ปัจจุบันว่า คนทั่วโลกกำลังเผชิญสถานการณ์เดียวกัน ทั้งภาวะโลกร้อนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและใจ รวมถึงการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และแม้เราจะมีเทคโนโลยีการรักษา ยา หรือวัคซีนที่ดีขึ้น แต่ก็ต้องแลกมากับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นตามไปด้วย
ช่วงหลังการระบาดของโควิด-19 ไทยมีการใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลขึ้นมาถึง 5.4% ของจีดีพี โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือสังคมผู้สูงอายุ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ไทยจะก้าวสู่ภาวะสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super Aging Society) หรือในอีก 20 ปีข้างหน้า ประชากรไทย 1 ใน 3 จะมีอายุเกิน 60 ปี ซึ่งคนกลุ่มนี้ต้องการการดูแลสุขภาพอย่างดี
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทายนี้ ประเทศไทยกลับมีจุดแข็งที่โดดเด่นและได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบสุขภาพดีที่สุดในโลก โดยมี 4 ปัจจัยสนับสนุน คือ
- โครงสร้างพื้นฐานดี
- หมอและพยาบาลมีความแข็งแกร่ง
- ค่าใช้จ่ายในการรักษาค่อนข้างดี
- มีรัฐบาลพร้อมสนับสนุน จึงทำให้ไทยเป็นจุดหมายของคนทั่วโลกในการมารักษา
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ไทยเป็นจุดหมายการรักษาพยาบาลของคนทั่วโลก แต่ ศ.นพ.อภิชาติ เน้นย้ำว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือความเชี่ยวชาญและ หัวใจการให้บริการ หรือ Service Mind ของหมอและพยาบาลไทย ผู้ป่วยต่างชาติที่มารักษาในไทยสัมผัสได้ถึงการดูแลด้วยจิตใจและความเข้าอกเข้าใจ (Empathy) ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาอาจไม่เคยพบเจอในประเทศของตนเอง
จุดแข็งนี้ส่งผลให้ไทยมี Wellness Economy ที่แข็งแกร่ง โดยอยู่อันดับ 24 ของโลก และอันดับ 9 ของเอเชียแปซิฟิก ทั้งยังมีอัตราการขยายตัวสูงที่สุด นอกจากนี้ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือ Wellness Tourism ก็มีมูลค่ามหาศาล ดึงดูดผู้คนกว่า 13.5 ล้านคน (1 ใน 3 เป็นชาวต่างชาติ) ให้เดินทางเข้ามา ด้วยปัจจัยสนับสนุนทั้งธรรมชาติที่สวยงาม อาหารการกิน และอัธยาศัยของผู้คน
แต่การจะเป็นศูนย์กลางการแพทย์ระดับโลก ศ.นพ.อภิชาติ ชี้ว่า เราจะทิ้งเรื่องนวัตกรรม (Innovation) ไม่ได้ ต้องมีระบบวิจัยที่แข็งแกร่ง สร้างหลักฐานทางการแพทย์ที่ตีพิมพ์ได้ เพื่อนำไปสู่การพัฒนานโยบายสุขภาพและการต่อยอดเชิงพาณิชย์
ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีอย่าง AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง โดยโรงพยาบาลศิริราชได้นำเทคโนโลยี Genome Sequencing หรือ การถอดรหัสพันธุกรรม มาใช้รักษาผู้ป่วยมะเร็งแบบจำเพาะรายบุคคล ซึ่งช่วยประหยัดงบประมาณของประเทศได้ถึง 270 กว่าล้านบาท
ศ.นพ.อภิชาติ อ้างอิงถึงงานวิจัยของ Microsoft ที่พบว่า AI สามารถวินิจฉัยโรคได้เก่งกว่าหมออย่างชัดเจน แต่ AI ก็ยังไม่มีหัวจิตหัวใจเท่าคุณหมอ และยังต้องใช้เวลาสร้างความไว้วางใจกับคนไข้ ซึ่งนี่คือจุดที่บุคลากรการแพทย์ของไทยมีความโดดเด่น
อย่างไรก็ตาม การจะนำ AI มาใช้ในระบบสุขภาพ จำเป็นต้องวางรากฐานเรื่องธรรมาภิบาล (Governance) และ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ให้ชัดเจน และต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญ
ตัวอย่างเช่น ศิริราชได้ร่วมมือกับบริษัท Perceptra พัฒนาระบบ AI ช่วยรังสีแพทย์วินิจฉัยโรค ที่สามารถตรวจจับความผิดปกติได้ถึง 9 รูปแบบ ด้วยความแม่นยำกว่า 90% ซึ่งปัจจุบัน สปสช. ได้มอบหมายให้ศิริราชและ Perceptra นำระบบนี้ไปขยายผลในโรงพยาบาลต่างๆ แล้ว
ศ.นพ.อภิชาติ ทิ้งท้ายด้วยความมั่นใจว่า ประเทศไทยมีความพร้อม แต่การจะไปถึงเป้าหมาย ศูนย์กลางการแพทย์โลก หรือ Medical Hub ได้นั้น ต้องอาศัยภาคีเครือข่ายที่เข้มแข็ง แนวนโยบายและยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนจากภาครัฐ
THE STANDARD Economic Forum 2025
Rerun Ticket บัตรชมย้อนหลังออนไลน์ เปิดจำหน่ายวันที่ 7 พ.ย.68. คลิก ›
- ดูได้นานถึง 6 เดือนเต็ม! (เปิดให้รับชมตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 – 14 เมษายน 2569)
- รับชมย้อนหลังได้ทั้ง 4 เวที (Main Stage, Young Leaders Dialogue Stage, Tech Stage และ AI Showcase Stage)
- ราคาพิเศษเพียง 990.-


