สตีเฟน ฮอว์คิง นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลกทิ้งคำตอบต่อคำถามสำคัญของมนุษยชาติผ่านหนังสือเล่มล่าสุด Brief Answers to the Big Questions หรือ คำตอบโดยย่อต่อคำถามอันยิ่งใหญ่ ที่ตีพิมพ์เมื่อวานนี้ (16 ต.ค.) ยืนหยัดความเชื่อที่ว่าจักรวาลไร้ผู้สร้าง
หนังสือที่ได้รับการตีพิมพ์ขึ้นหลังฮอว์คิงเสียชีวิตลงนี้ มีบางส่วนได้รับการเติมเต็มจากครอบครัวของเขาและเพื่อนนักวิชาการหลายราย
“เราต่างมีเสรีภาพในการเลือกเชื่อสิ่งที่เราต้องการ สำหรับผมแล้ว คำอธิบายที่ง่ายสุดคือ พระเจ้าไม่มีอยู่จริง” นักฟิสิกส์ทฤษฎีรายนี้ย้ำ พร้อมชี้อีกว่าไม่ว่าจะจักรวาลหรือโชคชะตาของมนุษย์ ก็ไม่มีผู้ใดกำหนดขึ้น
“หลายศตวรรษที่ผ่านมา ผู้คนต่างเชื่อว่าคนพิการอย่างผมต้องคำสาปที่พระเจ้าลงทัณฑ์… แต่ผมชอบความคิดที่ว่า ทุกอย่างสามารถอธิบายผ่านแนวคิดอื่นได้ด้วยกฎแห่งธรรมชาติ
“ความคิดนี้ทำให้ผมตระหนักถึงความจริงอันลึกซึ้งว่า มันคงไม่มีสวรรค์หรือชีวิตหลังความตาย ผมคิดว่าความเชื่อในเรื่องนี้เป็นเพียงความปรารถนาที่อยู่เหนือเหตุผล” คำขยายของเขาระบุต่อไปว่า “ทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นบนองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เรามีทำให้ผมคิดว่า เมื่อเราตายลง เราก็กลับไปเป็นเถ้าธุลี”
ด้วยวัย 76 ปี ฮอว์คิงเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา โดยสาเหตุมาจากโรคลูเกริก หรือโรคทางเซลล์ประสาทสั่งการ ซึ่งส่งผลกระทบทำให้เขามีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงมาเกินกว่าครึ่งศตวรรษ
ท่ามกลางทรรศนะของฮอว์คิงที่ปฏิเสธพื้นที่การมีอยู่ของพระเจ้าและชีวิตหลังความตาย เขายังยืนยันว่าการเดินทางย้อนเวลา ‘ยังมีความเป็นไปได้อยู่’ หากประเมินตามองค์ความรู้ของมนุษย์ในปัจจุบัน
ลูซี ฮอว์คิง หนึ่งในผู้ช่วยเติมเต็มหนังสือเล่มนี้กล่าวว่า สิ่งที่พ่อของเธอกังวลมากที่สุดคือ ‘ความแตกแยกที่พวกเราเป็นอยู่’
“ในเวลาที่ปัญหาปรากฏขึ้นอยู่ทั่วโลก เรากลับมีมุมมองที่แคบลง หนังสือเล่มนี้ร้องหาความสามัคคีของมนุษยชาติ เพื่อให้พวกเรากลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันและเผชิญหน้าความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า” เธอย้ำถึงเป้าหมายการตีพิมพ์ครั้งนี้
คำตอบอื่นสำหรับมนุษยชาติ
ไม่เพียงแค่คำถามต่อโลกหลังความตาย พระเจ้า และการเดินทางข้ามเวลาเท่านั้นที่นักวิทยาศาสตร์รายนี้ทิ้งท้ายเอาไว้ เขายังตอบถึงประเด็นที่มนุษยชาติแสดงความกังวลด้วย
โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษรายนี้มองว่า ปัญญาประดิษฐ์มีความสามารถชั้นยอดในการบรรลุเป้าประสงค์ที่มันต้องการ และย้ำว่า ‘เราย่อมตกที่นั่งลำบาก’ หากเป้าหมายของสองฝ่ายไม่สอดคล้องกัน อย่างไรก็ตาม หากหุ่นยนต์ไม่เป็นฉากสุดท้ายของมนุษยชาติ ฮอว์คิงมองว่าจุดจบที่แทบหลีกเลี่ยงไม่ได้ย่อมมาจาก ‘สงครามนิวเคลียร์หรือภัยพิบัติทางสิ่งแวดล้อม’ ในจุดใดจุดหนึ่งของช่วงหนึ่งพันปีข้างหน้า
คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ IPCC เพิ่งเผยแพร่รายงานถึงสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า มนุษยชาติเหลือเวลาเพียง 12 ปีเพื่อจัดการปัญหาดังกล่าวให้สภาวะโลกร้อนยังคงอยู่ที่ระดับกลาง มิเช่นนั้นโลกจะเผชิญหน้าภัยพิบัติทางธรรมชาติบ่อยขึ้น
นอกจากประเด็นในโลกแล้ว เขายังมองว่าภายในช่วงเวลา 100 ปีข้างหน้า มนุษย์จะสามารถเดินทางไปที่ไหนก็ได้ในสุริยจักรวาล
แม้หลายคำตอบของฮอว์คิงจะคาดการณ์ถึงสถานการณ์ย่ำแย่ที่กำลังจะมาเยือน ภายในบทสุดท้ายที่ถามถึงการสร้างอนาคตต่อไป ความหวังที่เขาตอบไว้คือ “จงอย่าลืมที่จะเงยหน้าขึ้นมองดวงดาว ไม่ใช่แค่ก้มหน้ามองเท้าของเรา”
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
- www.forbes.com/sites/ericmack/2018/10/16/stephen-hawking-believed-time-travel-was-more-likely-than-the-existence-of-god/#58352a325679
- www.vox.com/future-perfect/2018/10/16/17978596/stephen-hawking-ai-climate-change-robots-future-universe-earth
- www.forbes.com/sites/ericmack/2018/10/16/stephen-hawking-believed-time-travel-was-more-likely-than-the-existence-of-god/#58352a325679