การสูญเสียและจากไปเป็นเรื่องน่าเศร้าและสลดใจ แต่หากศิลปินและนักแสดงบางคนที่แม้ตัวจะจากไปแล้ว แต่ผลงานและเรื่องราวในชีวิตของเขาอาจจะทิ้ง ‘ข้อความ’ และ ‘ข้อคิด’ บางอย่างเอาไว้เป็นตัวอย่างให้กับคนที่ยังมีลมหายใจได้ใช้เตือนสติในขณะที่ยังมีลมหายใจเพื่อดำเนินชีวิตต่อ
วันนี้ THE STANDARD จึงขอยกศิลปินและนักแสดงที่จากไปแต่ยังคงทิ้งเรื่องราวดีๆ ที่เปรียบเสมือนข้อความสุดท้ายไว้ให้พวกเราได้ชื่นชมและรำลึกถึง
Amy Winehouse
อายไลเนอร์ใหญ่ยาว ผมฟาร่าครึ่งหัวยกสูงกับหน้าม้าปัด ใครก็ต้องนึกถึง เอมี ไวน์เฮาส์ (Amy Winehouse) ศิลปินหญิงเลือดอังกฤษผู้เป็นไอคอนของใครหลายคนบนเส้นทางดนตรี เอมีเป็นศิลปินที่มีความสามารถทั้งร้องและแต่งเพลง พิสูจน์ได้จากอัลบั้ม Back to Black ในปี 2006 ที่สามารถคว้า 2 รางวัล Grammy Awards ซึ่งเป็นผลงานที่มาจากความสามารถด้านเนื้อร้องและน้ำเสียงระดับพรสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นเพลง Rehab ที่เราน่าจะเคยได้ยินบ่อยๆ หรือเพลง Back to Black ที่ได้รับความนิยมและเป็นเพลงโปรดของผู้คนมากมาย
แต่ถึงอย่างนั้น เอมีกลับมีชีวิตโลดแล่นตรงจุดที่สง่างามของวงการดนตรีได้เพียงไม่นาน เพราะความโด่งดังกลับทำให้เธอหลงทาง
‘ชื่อเสียง’ ก็เหมือนดาบสองคมที่รอวันบาดหัวใจที่เปราะบางเยี่ยงกระดาษของเอมี ที่สุดเธอเริ่มสูญเสียความเป็นตัวเองไปทีละนิด สุราและยาเสพติดไม่เคยทำให้ชีวิตของใครดี ช่วงปีท้ายๆ ที่โลกยังมีเธอ ภาพจำของผู้คนทั่วโลกจึงเต็มไปด้วยข่าวด้านลบ หลายต่อหลายครั้งเธอขึ้นเวทีด้วยความเมามาย คลิปที่ถูกแชร์ผ่านโลกโซเชียลกลายเป็นภาพนักร้องพรสวรรค์แห่งยุคที่ดูไร้สติบนเวที ถูกคนดูโห่ร้องปาข้าวของใส่ เอมีเคยเข้ารับการบำบัดที่โรงพยาบาลคาปิโอ ไนติงเกล แต่น่าเสียดายเพราะสุดท้ายเธอก็เอาชนะมันไม่ได้
ที่สุดแล้วช่วงบ่ายเหงาๆ ของวันที่ 23 กรกฎาคม 2011 เอมีเสียชีวิตตามลำพังบนเตียงนอนในห้องของเธอ ด้วยร่างกายที่อ่อนแออย่างหนักจากปัญหาติดสุราและยาเสพติดมาเป็นเวลานาน ซึ่งนั่นคือวันที่คนในครอบครัว คนรักเก่า คนรักปัจจุบัน และแฟนเพลงที่หลงรักในพรสวรรค์ของเธอหัวใจสลายให้กับการจากไปของเธอ
‘ชื่อเสียงอาจไม่สำคัญเท่าใครสักคนที่เคียงข้างอย่างจริงใจ’
อาจจะเป็นข้อความสุดท้ายที่เอมีทิ้งไว้ให้เราได้คิดว่า แค่เพียงเรายื่นมือเข้าช่วย ยืนเคียงข้าง และใส่ใจคนใกล้ตัว ไม่แน่ว่าอีกหลายชีวิตที่มีหัวใจเปราะบางอย่างเช่นเอมี อาจจะมีที่พัก สามารถต่อสู้และเดินหน้าต่อไปพร้อมกับอีกหลายหลากชีวิตที่แตกต่างบนโลกนี้ได้
ในวันที่เธอจากไปข้อความจากเอมีเหมือนบอกกับเราว่า ชีวิตนั้นไม่เคยง่าย ศิลปะของการใช้ชีวิตนั้นเป็นเรื่องจริง และมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคนบางคน ความโด่งดังก็เหมือนดั่งดาบสองคม เมื่อได้มันมาก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะควบคุมมันได้
ย้อนกลับไปหนึ่งในช่วงเวลาที่งดงามที่สุดในช่วงชีวิตของ เอมี ไวน์เฮาส์ เคยได้รับคำเชิญจาก โทนี เบนเน็ตต์ นักร้องและนักดนตรีผู้เป็นตำนาน และสำคัญที่สุด เขาคือ ‘ไอดอล’ ตลอดกาลของเธอให้ร่วมร้องเพลงและบันทึกเสียงร่วมกันในเพลง Body and Soul จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเอมีจากไป เขาเคยพูดถึงชีวิตของเอมีไว้ในภาพยนตร์สารคดี Amy ว่า
“Life teaches you how to live it, if you live long enough.”
“ชีวิตมันจะสอนคุณเองว่าจะอยู่กับมันอย่างไร ถ้าคุณอยู่ให้นานพอ”
ที่สุดแล้วหลังจากสูญเสียเอมีไป ครอบครัวของเธอได้ก่อตั้งองค์กรการกุศลชื่อ The Amy Winehouse Foundation เพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ที่ติดเหล้าและยา โดยมีบุคลากรมากมายยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเพื่อให้โครงการดีๆ ประสบความสำเร็จและเดินหน้าต่อไปได้
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ศิลปินสาวเสียงโซลจากไป โรงพยาบาลต่างๆ ที่เปิดรับบำบัดด้านอาการเสพติด ต่างออกมาให้สัมภาษณ์ว่ามีผู้คนมากมายตัดสินใจเดินเข้ารับการบำบัด หลังจากทราบข่าวการเสียชีวิตของเธอ นี่อาจจะเป็นหนึ่งใน ‘แง่งาม’ สุดท้าย ที่เธอได้ใช้ชื่อเสียง พรสวรรค์ และแง่มุมชีวิตทั้งด้านสว่าง มืดหม่น เปราะบาง ในการส่ง ‘ข้อความ’ สุดท้าย ถึงผู้คนและแฟนเพลงของเธอให้ได้กลับมามองเห็น ‘ความสำคัญของการใช้ชีวิต’ เราศรัทธาและเชื่อมั่นในรักได้ แต่สำคัญที่สุดคือจงเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเอง
Heath Ledger
ฮีธ เลดเจอร์ (Heath Ledger) คือนักแสดงมากความสามารถ โดยเฉพาะในช่วงท้ายสุดของชีวิตกับบทบาทโจ๊กเกอร์ ตัวละครสำคัญใน Batman: The Dark Knight (2008) ซึ่งกลายเป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่เขาได้ฝากฝีมือไว้ และนั่นส่งให้เขากลายเป็นตำนานทันที
แต่ไม่ใช่แค่เฉพาะกับบทบาทโจ๊กเกอร์เท่านั้นที่มีค่าคู่ควรให้จำ ย้อนกลับเส้นทางการแสดง ฮีธฝากผลงานชั้นดีไว้ อาทิ The Patriot (2000), Monster’s Ball (2000), A Knight’s Tale (2001), The Four Feathers (2002), Ned Kelly (2003), The Order (2003), Casanova (2005) และบทที่โดดเด่นในหนังอัตชีวประวัติของบ็อบ ดีแลน ‘I’m Not There’
ก่อนที่เขาจะได้รับโอกาสสำคัญที่พิสูจน์ความสามารถอย่างที่สุดใน Brokeback Mountain (2005) คาวบอยหนุ่มผู้ลังเล สงสัยในเพศสภาพของตัวเอง
ต่อมาเมื่อฮีธได้รับโอกาสสำคัญ นั่นคือบทบาทโจ๊กเกอร์ ซึ่งต่อมามันกลายเป็นบทบาทที่ว่ากันว่าเป็นการแสดงที่ดีที่สุดของเขา
สำคัญที่สุด มันกลายเป็นบทบาทในภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่เขาได้ฝากฝีมือไว้ (ถ้าไม่นับ The Imaginarium of Doctor Parnassus ที่ยังถ่ายทำไม่เสร็จ) ก่อนที่ข่าวการเสียชีวิตของเขาจะถูกเปิดเผยขึ้นอย่างกะทันหันในวันที่ 22 มกราคม 2551 ด้วยวัยเพียง 28 ปี ซึ่งผลการชันสูตรบ่งบอกว่า ฮีธเสียชีวิตเพราะ ‘น็อกยา’ หรือ ‘อาการมึนเมาอย่างฉับพลันจากยา’ ที่เขากินทั้งยาแก้ปวด ยานอนหลับ และยาแก้เครียดเข้าไปรวดเดียวถึง 6 เม็ด และหนึ่งในตัวยาที่ถูกผสมปนรวมอยู่ในร่างของเขาก็รวมถึง OxyContin หรืออีกชื่อที่รู้จักแพร่หลายคือ ‘ฮิลบิลลี เฮโรอีน’ ยาฤทธิ์ร้ายแรงที่มีส่วนผสมของมอร์ฟีน ซึ่งทางการแพทย์ใช้เพื่อระงับอาการปวด และมีคนอีกจำนวนมากที่เสียชีวิตจากการใช้ยาตัวนี้ ‘เนื่องจากใช้มันผิดไปจากคำสั่งแพทย์’ ซึ่งฮีธเองก็มีพฤติกรรมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน
ข่าวการตายของฮีธช็อกผู้คนไปทั่วโลก เพราะนาทีนั้นเส้นทางการแสดงของเขากำลังก้าวสู่จุดที่ดีที่สุดในชีวิต
คริสโตเฟอร์ โนแลน (Chirstopher Nolan) เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “มีความภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงเรื่องนี้ และฮีธ เลดเจอร์คือสุดยอดโจ๊กเกอร์ที่ผมไม่เคยลืม”
ขณะที่ผู้เป็นพ่ออย่าง คิม เลดเจอร์ เคยให้สัมภาษณ์ถึงรายละเอียดที่สำคัญ ภายหลังจากลูกชายของเขาเสียชีวิตไปแล้ว 9 ปีว่า ก่อนที่เขาจะถูกพบว่าเสียชีวิตเพราะใช้ยาเกินขนาด พี่สาวของฮีธโทรไปหาเขาแล้วกล่าวเตือนสติว่า “อย่ากินยาตามใบสั่งแพทย์ร่วมกับยานอนหลับ” แต่เป็นฮีธเองที่บอกพี่สาวว่า “เคที ไม่เป็นหรอก ผมรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่”
แต่ก็นั่นแหละ ประโยคสุดท้ายนั้นเป็น ‘ข้อความ’ ที่ทำให้เราในฐานะผู้เสพข่าวบันเทิงได้เรียนรู้ว่าอย่าประมาทกับชีวิต บางทีการคิดว่ารู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่นั้น แท้จริงมันจะเป็นการรู้ตัวในแบบ ‘รู้เท่าไม่ถึงการณ์’ ก็ได้
https://www.youtube.com/watch?v=0jMiBx3kIfo
Chester Bennington
นับตั้งแต่เปิดตัวอัลบั้มแรก Hybrid Theory ที่เต็มไปด้วยเพลงฮิตแทบยกอัลบั้มในปี 2000 ชื่อของ Linkin Park วงดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อกที่เต็มไปด้วยส่วนผสมทางดนตรีที่หลากหลายทั้ง Nu Metal, Rap, Electronic Rock, Pop ฯลฯ อย่าง Linkin Park ก็โด่งดังไปทั่วโลก!
หากแต่ตลอดเส้นทางในฐานะนักร้องนำร่วมซึ่งเป็นหัวใจสำคัญให้กับวง เชสเตอร์ เบนนิงตัน (Chester Bennington) ซึ่งได้รับการยกย่องจากวงการดนตรีให้เป็นหนึ่งในนักร้องนำที่มีน้ำเสียงและการเพอร์ฟอร์มโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง แต่ที่ด้านล่างเวที เขากลับต้องแบกรับปัญหาจากโรคซึมเศร้าที่เผชิญมาอย่างยาวนาน และทั้งหมดสะสมมาจากเรื่องราวสมัยเด็กที่เขาเคยถูกทุบตี โดนกระทำคุกคามทางเพศ การใช้สารเสพติด รวมไปถึงการใช้ชีวิตส่วนตัวอื่นๆ จนท้ายที่สุดเขาก็พ่ายแพ้ให้กับ ‘โรคร้ายสีหม่นที่ซุกซ่อนอยู่ในจิตใจ’ หลังจากพยายามจะเอาชนะมันมาตลอดหลายปี
กระทั่งเหตุการณ์ที่คาดกันว่าน่าจะมีอิทธิพลสำคัญต่อการตัดสินใจฆ่าตัวตายของเชสเตอร์ก็คือ การสูญเสีย คริส คอร์เนลล์ นักร้องนำวง Soundgarden and Audioslave ที่เป็นทั้งเพื่อนรักและนักร้องผู้ทรงอิทธิพลต่อเขาทางดนตรี ด้วยเหตุฆ่าตัวตายในเดือนพฤษภาคมของปีนี้ ซึ่งนั่นเหมือนเป็นการตอกย้ำความรู้สึก ‘ด้านลบ’ โดดเดี่ยวของเขาให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก
ข่าวร้ายในครั้งนั้นถึงกับทำให้เชสเตอร์ใช้เวลาเยียวยาจิตใจตัวเองอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะตัดสินใจทำเพลงใหม่และออกทัวร์คอนเสิร์ต แต่ใครจะรู้ว่าคอนเสิร์ตสุดท้ายของเขาได้จบลงเพียงแค่ที่ Birmingham ด้วยเพลง Bleed It Out
คอนเสิร์ตสุดท้ายที่เชื่อว่าจะเป็นที่จดจำของแฟนเพลงไปอีกยาวนานนั้น เชสเตอร์ได้ก้าวลงมาใกล้ชิดกับแฟนเพลงของเขา บางคนบอกว่านั่นคือ ‘ข้อความ’ สำคัญ เหมือนจะเป็นการลาครั้งสุดท้ายก่อนที่หนึ่งในนักร้องที่โลกควรมีจะตัดสินใจจบชีวิตลงในบ้านพักของตัวเอง
อีกสิ่งที่ทำให้แฟนเพลงช็อกที่สุดคือ เพียงไม่กี่นาทีก่อนที่จะมีข่าวการสูญเสียออกมา วงดนตรีที่เขารักและเพื่อนสมาชิกรวมตัวกันมาอย่างยาวนานมากกว่า 18 ปี เพิ่งจะปล่อยมิวสิกวิดีโอตัวล่าสุดสำหรับซิงเกิล Talking To Myself ออกมาในช่วงเช้าวันเดียวกัน ขณะที่ซิงเกิลอย่าง Heavy ที่มีเนื้อร้องที่บอกถึงความทุกข์ใจที่คนๆ หนึ่งไม่สามารถจัดการชีวิตได้ กลายเป็นบทเพลงสุดท้ายที่เชสเตอร์ใช้สื่อสารกับแฟนเพลงในฐานะนักร้องนำของ Linkin Park
ภายหลังจากเสียชีวิต เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุถึงสาเหตุว่ามาจากโรคซึมเศร้าที่เขาต้องเผชิญมาอย่างยาวนาน นอกจากนั้นการเสียชีวิตของเชสเตอร์ตรงกับวันคล้ายวันเกิดครบ 53 ปีของ คริส คอร์เนลล์ เพื่อนสนิท (ที่ก็เสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายในลักษณะเดียวกัน) ในวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา
“You can’t be afraid of people willing to hurt you, cause if you fear life, then you will never live” – เชสเตอร์ เบนนิงตัน
ตลอดช่วงชีวิตของเชสเตอร์ เขาเป็น ‘นักเสพ’ สิ่งเสพติดมาตั้งแต่วัยเด็ก ผ่านมาแล้วทั้งกัญชา โคเคน แอลเอสดี แอมเฟตามีน และง่ายดายที่สุดคือการเป็นนักดื่ม ฯลฯ ก่อนจะเลิกขาดไปได้อีกหลายปีหลังจากเข้าเป็นสมาชิกใหม่ของวง Xero ที่ต่อมากลายเป็น Linkin Park ซึ่งเพื่อนร่วมวงนี่แหละที่เป็นพลังใจให้เขาในการเลิกยา ในช่วงเวลานั้นเชสเตอร์เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าตัวเองจะรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเวลาเมายา “ผมรู้สึกว่าตัวเองสามารถควบคุมสิ่งรอบตัวได้มากขึ้นขณะเมายา”
หลังจากเลิกยามาได้หลายปี เชสเตอร์ก็ตัดสินใจใช้มันอีกครั้ง โดยเฉพาะข่าวคราวอาการเสพติดแอลกอฮอล์ในช่วงทัวร์คอนเสิร์ตของวงในปี 2008 แต่นั่นก็เป็นช่วงเวลาโง่งมเพียงไม่นาน เพราะหลังจากเลิกมันได้อีกครั้ง มันก็กลายเป็นการเลิกแบบเด็ดขาด! อย่างที่ไม่เคยกลับมาใช้มันอีกเลยกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต
เชสเตอร์ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “มันไม่ใช่เรื่องเจ๋งเลยที่คุณติดแอลกอฮอล์ มันไม่เจ๋งเลยที่จะเมาและทำตัวโง่เขลา”
นั่นหมายความว่าในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนจะจากเพื่อนๆ และแฟนเพลงทั่วโลกไป เขามีเพียงอาการของโรคซึมเศร้าที่คุกคามจิตใจ โดยไม่มีสารเสพติดใดๆ อยู่ในร่างกายเลย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ‘ด้านหนึ่งในจิตใจ’ เขาเป็นคนเข้มแข็งที่สามารถเอาชนะยาเสพติด มากไปกว่านั้น เขายังเป็นสามี คุณพ่อ และหัวหน้าครอบครัวที่จิตใจอ่อนโยน พิสูจน์ได้จากการที่ จิมมี เบนนิงตัน ลูกชายของเขาที่ปัจจุบันอายุ 21 ปีมีความสนใจในวิถีทางดนตรีด้วยเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนั้น ‘ข้อความ’ ที่เชสเตอร์ส่งต่อให้แฟนเพลงและชาวโลกหลังการจากไปคือการ ‘ตระหนักรู้’ เกี่ยวกับพิษร้ายแบบซึมลึกของโลกอันซึมเศร้าภายในจิตใจที่อาจจะเกิดขึ้นกับ ‘คนใกล้ชิด’ รอบตัวเราทุกคน เช่นนั้นแล้วสำคัญที่สุดคือการสังเกต เอาใจใส่คนใกล้ตัว และถ้าพบว่าเขาเหล่านั้นมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคร้ายที่ลุกลามรุนแรงอยู่ในคนยุคนี้ การทำความเข้าใจ ใส่ใจ คอยอยู่เคียงข้าง และเคารพในทุกการตัดสินใจ ก็น่าจะเป็นอีกอาวุธสำคัญที่จะทำให้พวกเขาผ่านชีวิตในช่วงที่ยากลำบากไปได้ และจากกันไปก่อนวัยอันควร
เรื่องของทั้ง ‘เขา’ และ ‘เธอ’ อาจจะเตือนสติให้คนธรรมดาที่ยังคงมีลมหายใจอยู่ได้เรียนรู้ว่า ชีวิตนั้นเปราะบาง และไม่ว่าจะ ‘ร่างกาย’ หรือ ‘หัวใจ’ มันก็พร้อมที่จะร้าวอยู่เสมอ ถ้าเราเพียงแค่ประมาทกับชีวิต