*บทความนี้มีการเปิดเผยข้อมูลซีรีส์
เมื่อเดือนเมษายนของปี 2024 ที่ผ่านมา THE STANDARD POP ได้รับโอกาสสุดเอ็กซ์คลูซีฟจาก HBO ให้เข้าร่วม Set Visit กองถ่ายของซีรีส์ดีกรี Emmy Awards อย่าง The White Lotus ที่ตอนนี้เดินทางมาถึงซีซัน 3 แล้ว แถมพวกเขายังได้เดินทางมาถ่ายทำกันที่จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย ซึ่งนอกเหนือจากนี้ จังหวัดกรุงเทพมหานคร และจังหวัดสุราษฎร์ธานี ต่างก็เป็นอีกแลนด์มาร์กที่พวกเขาใช้ถ่ายทำด้วยเช่นกัน
สิ่งหนึ่งที่ผมจดจำได้ในระหว่างการไปเยือนกองถ่ายในครั้งนั้น คือเป็นช่วงฤดูร้อนที่มีอากาศร้อนชื้นจนผิวเหนอะหนะไปทั้งตัว สื่อมวลชนจากหลายประเทศที่เดินทางมาพร้อมกัน ล้วนถูกสั่งไม่ให้ใช้อุปกรณ์สื่อสารทุกอย่างหลังเซ็นสัญญารักษาความลับกับทีม HBO พวกเราเดินดุ่มๆ เข้าไปในโลเคชันร้านอาหารมิชลินไกด์ที่ชื่อว่า ‘ตาข่าย’ ระหว่างที่ทีมงานเกินกว่าร้อยชีวิตกำลังเตรียมถ่ายทำซีนใหญ่กันอยู่อย่างวุ่นวาย
สถานที่แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโรงแรม Rosewood Phuket ได้ถูกเนรมิตให้กลายเป็นโซนภัตตาคารของโรงแรม The White Lotus ในช่วงค่ำคืน และเราก็ได้เห็นกันไปแล้วในซีรีส์ The White Lotus Season 3 เอพิโสดที่ 5: Full Moon Party
ในวันนั้นเอง ผมได้เห็นเบื้องหลังของการถ่ายฉากสุดพีคมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ตอนครอบครัว Ratliff กำลังถกเถียงกันถึงตัวละคร Piper Ratliff (รับบทโดย Sarah Catherine Hook) ที่ตัดสินใจบอกผู้ปกครองว่าต้องการอยู่ที่ประเทศไทยเพื่อสานต่อแพสชันทางศาสนา, Timothy Ratliff (รับบทโดย Jason Isaacs) กำลังเผชิญกับปัญหาที่รุมเร้าชีวิต รวมถึงซีนสุดตระการตาที่ มุก (รับบทโดย ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล) กำลังจะโชว์การร่ายรำในลุคชุดไทย
หลายคนที่อ่านมาถึงจุดนี้อาจสงสัยว่าผมได้เจอลิซ่าไหม คำตอบคือผมได้เจอเธอ คิวถ่ายทำของลิซ่าแน่นมากในวันนั้นจนไม่สามารถให้สัมภาษณ์กับใครได้ แต่เธอก็ยังแวะมาทักทายอย่างเฟรนด์ลีกับสื่อทุกคนที่เต็นท์พักในลุคชุดไทยจัดเต็ม เมคอัพของลิซ่าถูกแต่งแต้มโดย Jibbierubie ช่างคนไทย อาจจะดูแปลกตาไปมาก แต่ก็สวยงามไม่น้อย แววตาของเธอยามพูดคุยกับบรรดาสื่อดูทั้งสดใสและเต็มไปด้วยพลัง
ผมจำได้ว่าการถ่ายทำฉากฟ้อนรำของลิซ่า ยังมีคุณแม่จิตรทิพย์ บรู๊ชวายเลอร์ มาเฝ้าลูกสาวด้วย พร้อมกับทีมงานค่าย LLOUD หลายฝ่ายที่มาคอยดูแลป๊อปสตาร์คนนี้อย่างใกล้ชิด สปิริตอีกอย่างที่ทำให้ผมประทับใจมาก นั่นก็คือในวันนั้นลิซ่าถ่ายทำฉากรำยาวนานจนถึงตีสาม การรำไทยของเธอในครั้งนั้นดูสดใหม่และแตกต่างไปจาก Choreography ที่เคยเต้นมาในโลก K-Pop เธอลื่นไหลไปกับตัวละครมุกได้อย่างกลมกลืน แม้ว่าเราจะได้เห็นกันเพียงซีนนั้นก็ตาม
ซึ่งการได้เจอลิซ่าในครั้งนี้ ก็ถือว่าเป็นการสละคราบที่เรานึกถึงเธอในภาพลักษณ์ของสมาชิกวง BLACKPINK เธอกลายเป็นนักแสดงมือใหม่ที่กำลังท้าทายตัวเองกับผลงานที่น่าจะช่วยทำให้เธอก้าวกระโดดด้านชื่อเสียงบนเวทีโลก
อย่างไรก็ดี ผมขอพาทุกคนกลับมายังช่วงที่ตัวเองกำลังรอคอยให้ทุกคนเริ่มเซ็ตฉาก Patrick Schwarzenegger เป็นนักแสดงคนแรกที่เดินเข้ามาทักทายพวกเราพร้อมกับลุคชิลๆ เขาสวมใส่เสื้อยืดสีเทา กางเกงขาสั้น หนีบรองเท้าแตะและหมวกแก๊ปสบายๆ พร้อมบอกว่าเขาสะดวกพูดคุยกับทุกคน เพราะในวันนั้นไม่ได้มีคิวถ่ายทำอะไร อยากมาดูเพื่อนๆ ในกองถ่ายซีนต่างๆ ก็เท่านั้น
ในการถ่ายทำที่ประเทศไทย คุณรู้สึกอย่างไรบ้างกับที่นี่ มีอะไรที่คุณชอบหรือได้ค้นพบไหม?
Patrick: เราได้เจอแสงแดดอันอบอุ่น มันสวยงามมาก โรงแรมต่างๆ ที่เราเข้าพักนั้นสุดยอดและน่าเหลือเชื่อจริงๆ และคุณรู้ไหม ตั้งแต่ Four Seasons, Anantara ไปจนถึงที่นี่ที่ Rosewood ทุกอย่างสวยงามมาก ที่พัก และภูมิทัศน์และสุนทรียศาสตร์นั้นสวยงามสุดๆ
ผมจะบอกว่าผู้คน นักแสดงและทีมงาน คนในท้องถิ่น คนที่ทำงานในโรงแรม พวกเขาเป็นคนดีที่สุดที่ผมเคยพบเลยล่ะ ผมคิดว่านั่นเป็นเส้นสายสำหรับสิ่งต่างๆ ที่แฝงอยู่ในบทและนอกบท เชื่อมโยงทั้งวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ที่ส่งต่อกันมา
เมื่อคืนเราได้ไปที่ไนต์มาร์เก็ตและได้สัมผัสส่วนต่างๆ ของประเทศไทย ส่วนตัวผมไม่เคยไปอะไรแบบนี้มาก่อน มันเป็นโอกาสพิเศษมากที่ได้มาใช้ชีวิตในสถานที่แบบนี้เป็นเวลาหกเดือนกว่าๆ มันช่างน่าอัศจรรย์มาก ยอดเยี่ยมมาก และตั้งแต่ผมมาที่นี่ ผมได้ยินมาว่ามีคนจำนวนมากเคยมาถ่ายทำที่นี่ มีงานโปรดักชันหลายงานเกิดขึ้นที่นี่ และผมมารู้ว่า Mike, Dave (โปรดิวเซอร์) ได้ทำงานร่วมกับฝั่งทัวร์ บอร์ดและผู้คนมากมายที่นี่เพื่อให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ผมคิดว่ามันออกมาดีมากสำหรับเกาะโดยรวม และผมไม่ได้ทำงานในห้องสตูดิโออินดอร์ใดๆ
ทุกอย่างมันส่งผลต่อผม เมื่อคุณไปเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ หรือไปทำความเข้าใจวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ มันน่าทึ่งมากที่ได้เห็นบางส่วนของประวัติศาสตร์ที่นี่ ทั้งเรียนรู้และดื่มด่ำกับวัฒนธรรมนี้ที่นี่ ตั้งแต่ด้านความศรัทธา ด้านพุทธศาสนา ไปจนถึงอาหารและวัฒนธรรม ทุกแง่มุมแตกต่างกัน มันเป็นการเปิดหูเปิดตา และเป็นประสบการณ์ที่สวยงามเลยทีเดียว
บทบาท ‘Saxon’ ของคุณ และการทำงานกับ Mike White เป็นอย่างไรบ้าง?
Patrick: คุณต้องรอดูกันนะ มีบางส่วนที่ท้าทายเลย แต่ส่วนใหญ่แล้ว ตัวละครนี้มีความสนุกสนานมากมาย Saxon เป็นคนเปิดเผยมาก เจ้าชู้ แค่คิดทุกอย่างตามแบบฉบับของเขา ศาสนาของเขาคือเรื่องเงินในแง่หนึ่ง เขาเป็นคนที่ชอบความสุขในชีวิต และนั่นคือศาสนาของเขา น้องสาวของเขาเป็นคนที่มีจิตวิญญาณลึกซึ้งกว่า และพวกเขามักจะขัดแย้งกันอยู่เสมอ ความแตกต่างระหว่างทั้งสองเป็นเพียงการปะทะกันและขัดแย้งกัน แต่ในเวลาเดียวกัน เขาต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้กับน้องสาวของเขา คิดว่าวิธีของเขาเป็นวิธีที่ดีที่สุดและเป็นสิ่งที่น้องสาวต้องการ เพราะเธอหลงทางอย่างสิ้นเชิง
ส่วน Mike ก็มีมุมมองที่แตกต่างและไม่เหมือนใครเกี่ยวกับโปรเจกต์นี้ ไม่ว่าจะเป็นการเป็นผู้สร้าง นักเขียน ผู้กำกับ เขามีทั้งมุมมองและทัศนคติของนักแสดง เขาอนุญาตให้คุณนำการรับรู้และแนวคิดส่วนตัวของคุณมาใช้ ทำให้เราสามารถทำเทกที่เราต้องการนำเสนอได้อย่างเต็มที่ สามารถแสดงสดได้ในบางครั้ง มันเหมือนกับว่าเป็นมาสเตอร์คลาสที่ได้ดูเขาทำงาน และเรียนรู้จากเขาและจากนักแสดงคนอื่นๆ
ตามด้วยนักแสดงที่เราคุ้นตากันมากที่สุดในซีซันนี้อย่าง Natasha Rothwell ที่รับบทเป็น Belinda Lindsey มาตั้งแต่ซีซันแรก ตัวจริงของเธอดูร่าเริงและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง เธอได้ให้สัมภาษณ์กับทุกคนว่า
รู้สึกอย่างไรกับการกลับมาของบทบาท ‘Belinda’ ในซีซันที่ 3?
Natasha: ฉันกำลังกระโจนเข้าสู่ตัวละครนี้อีกครั้ง ฉันคิดว่ามันตลกมากในการพูดคุยกับ Carrie Coon ซึ่งอยู่ในซีซันนี้ เธอมีคำอธิบายที่ดีที่สุดสำหรับการสวมบทบาทเป็นตัวละครเดิมอีกครั้ง เธอบอกว่ามันเหมือนกับการสวมชุดว่ายน้ำเปียกๆ และ ‘คุณรู้ว่ามันพอดี’
และคุณรู้ไหมว่าเมื่อคุณดำดิ่งลงไปและเริ่มลงมือทำ มันจะรู้สึกดี แต่มันจะค่อนข้างยุ่งยากในช่วงเริ่มต้น ดังนั้นการดำดิ่งลงไปอีกครั้งกับกลุ่มเดิมและสำรวจตัวละครนี้จึงเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก แต่ด้วยมุมมองใหม่ตอนนี้ที่เราได้เห็น Belinda สูญเสียครั้งใหญ่และเห็นความเจ็บปวดของเธอ ฉันคิดว่าในซีซันนี้ เราจะได้เห็นสีสันที่แตกต่างกันในตัว Belinda และเฝ้าดูเธอสำรวจว่าเธอเป็นใคร แนวคิดเรื่องศรัทธาได้แทรกซึมอยู่ในซีซันนี้ทั้งหมด ฉันคิดว่าเราจะเห็นสิ่งนั้นผ่านตัวละครจริงๆ
เรื่องราวที่ Belinda มีกับตัวละครของ Jennifer Coolidge ได้รับการอธิบายไว้ในซีซันแรกแล้ว และเรารู้ว่านางจบชีวิตลงอย่างไรในซีซันสอง โดยเฉพาะเรื่อง ‘กรรม’ เมื่อเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันคิดว่าผู้ชมจะรู้สึกแบบเดียวกับที่พวกเขาระบุตัวตนกับ Belinda ในซีซันแรกว่าเป็นเหมือนโอเอซิสท่ามกลางผู้คนที่ไม่น่าไว้ใจ ฉันคิดว่าเธอจะมีความสม่ำเสมอในแบบนั้น เธอจะเป็นจุดสัมผัสที่ทำให้ผู้ชมเชื่อมโยงและอยากเอาใจเชียร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันดึงดูดใจจากตัวละครตัวนี้เลย
และสำหรับฉันแล้ว ฉันแค่จินตนาการว่า Belinda ได้พบกับ Tanya 10 คนในชีวิตของเธอ คุณรู้ไหม เธอจัดการกับมันได้ แต่เธอก็ฉลาดขึ้นทุกครั้ง ฉันไม่คิดว่าสำหรับฉันแล้ว ระยะห่างระหว่างซีซันหนึ่งกับสองไม่ได้เกิดขึ้นมากนักในแง่ของประสบการณ์ที่ปฏิวัติวงการในการเป็นพนักงานโรงแรม The White Lotus เธอแค่ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ ต้องแสดงสีหน้าและจัดการกับตัวละครประเภทนี้
ในฐานะตัวละครที่เป็นคนผิวดำใน The White Lotus คุณมีมุมมองอะไรที่อยากพูดกับเราหรือไม่?
Natasha: ตอนซีซันแรกและฉันพูดเรื่องนี้ในการสัมภาษณ์ ฉันให้เครดิต Mike White อย่างมากเพราะในฐานะคนผิวขาวที่เขียนตัวละครผิวดำ เขาเปิดใจรับฟังคำติชมและบทสนทนาของฉันมาก เมื่อฉันไปถึงฮาวาย เราได้นั่งลงและอ่านทุกหน้าของเรื่องราวของ Belinda
ฉันเสนอไอเดีย และ Mike ก็รับฟังเป็นอย่างดี การได้ร่วมงานกับผู้กำกับที่ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี แถมเข้าใจฉันในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์ นักเขียน และนักแสดง มันทำให้ฉันตื่นเต้นที่คนมองว่าฉันคือผู้สร้างอย่างแท้จริง เขาบอกว่า “ไม่ ผมไม่รู้ว่าการเป็นผู้หญิงผิวดำเป็นอย่างไร มาทำให้เรื่องนี้ดูสมจริงกันเถอะ”
ฉันจึงรู้สึกขอบคุณเขามากสำหรับเรื่องนี้ เขาอยากให้ผู้กำกับทุกคนในฮอลลีวูดทำตามแบบอย่างของเขา เช่น เราเป็นคนผิวดำในกองถ่าย เราเป็นทรัพยากร และเขาก็เห็นสิ่งนั้น และการได้อยู่ในกองถ่ายและรู้สึกมีคุณค่า และได้เห็นงานและมุกตลกที่ฉันนำเสนอในกองถ่าย เขายังมาชมอีกว่ามันดีที่สุด
นอกจากได้สัมภาษณ์ลูกชายตัวแสบของบ้าน Ratliff แล้ว หลังจากที่ผมได้เห็น Jason Isaacs แสดงในโหมดกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับชีวิตจนมีอาการอึดอัดไปหมด เขาก็สลัดมวลมืดหม่นทั้งนั้นทิ้งไป พร้อมให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนต่อด้วยใบหน้าที่สดใสเหมือนกับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าที่ใส่มา ผมยังจำความรู้สึกที่ตัวเองทึ่งได้ดี เพราะ Jason เล่นกับฉากเดินออกไปคุยโทรศัพท์เกินกว่า 10 เทก ซึ่งทุกครั้งเขาจะเพิ่มไดนามิกความตึงเครียดได้อย่างเข้มข้นและแตกต่างเสมอ
ในวันนี้ที่เรามองผ่านจอมอนิเตอร์ระหว่างที่คุณกำลังแสดงฉากตึงเครียด กับบทหัวหน้าครอบครัวที่ต้องแบกรับความกดดันหลายอย่าง เบื้องหลังของฉากนี้คุณรู้สึกอย่างไร?
Jason: เอาอย่างนี้นะ ผมมองว่ามันเป็นงานของผมเท่านั้นแหละ เชื่อว่าไม่มีใครอยากดูคนธรรมดาๆ ใช้ชีวิตวันธรรมดาๆ แล้ว ในทุกฉากมักจะมีคนเจอเรื่องโมเมนต์พิเศษอยู่เสมอ ผมจำได้ว่าในภาพยนตร์เรื่อง Peter Pan เราถ่ายกัน 121 เทกในหนึ่งวันเลย งานของผมคือการพยายามสร้างความสดใหม่และเข้าถึงอารมณ์บางสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม
การอยู่ที่หน้าเซ็ตคือการโน้มน้าวจินตนาการของผมให้รู้สึกตาม ไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในนั้น ทั้งผู้กำกับ ตากล้อง ทีมงานทุกฝ่าย ต่างหวังว่าจะทุกอย่างจะถูกทำให้มาสดใหม่และดีขึ้นในทุกครั้ง เพื่อที่พวกเขาจะได้ใช้มันในการตัดต่อหลังจากนั้น ส่วนผมที่ต้องทำยังไงกับมันน่ะเหรอ…ผมไม่รู้หรอก ผมเป็นแค่เป็น Natural Liar คนหนึ่งเอง และผมไม่มีสกิลอื่นแล้วแหละ
ต่อมา เทม-เมธี ทับทิมทอง นักแสดงไทยในบท ไก่ต๊อก ก็ปรากฏตัวขึ้นในเต็นท์ของสื่อมวลชนที่นั่งพักกันอยู่ เขามาพร้อมกับชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงแรม The White Lotus แบบเต็มยศ ใบหน้าของเทมเปื้อนรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา เขาสร้างพลังงานบวกให้กับทุกคนได้ในทันที จนสื่อจากหลายประเทศอยากทำความรู้จักกับผู้ชายสายเลือดไทยคนนี้ให้มากขึ้น
ตัวละครที่เทมต้องเล่นเป็น ‘ไก่ต๊อก’ มีความพิเศษหรือแง่มุมอะไรที่อยากเล่าถึงบ้าง?
เทม: ผมเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่แอบชอบผู้หญิงน่ารักคนหนึ่ง ทำงานในโรงแรม The White Lotus เหมือนกัน ผมแค่พยายามเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีกว่าและพยายามทำให้เธอประทับใจ แต่มันยากมาก เธอไม่ค่อยสนใจผมในตอนแรก เห็นเป็นเพื่อนเท่านั้น ผมเลยต้องพยายามทำดีที่สุดเพื่อดึงดูดความสนใจของมุก
และเพราะผมไม่เคยเรียนการแสดงหรืออะไรแบบนั้นเลย ทุกสิ่งที่ออกมาจากตัวผม มาจากการดูหนังหลายๆ เรื่อง และมาจากการใช้ชีวิตโดยทั่วไป เมื่อผมอยู่ท่ามกลางผู้คนต่างๆ ตลอดชีวิต ผมมักจะพยายามเลียนแบบ เห็นพวกเขาเป็นไปโดยธรรมชาติ
เหตุผลที่ผมคิดเสมอว่าตัวเองเหมาะกับหนังแอ็กชันมากกว่า ก็เพราะว่าผมอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายในสายงานนั้น ดังนั้น ผมจึงดึงเอาจากสิ่งที่พวกเขาเจอมา หรือมีใครเล่าอะไรให้ฟัง
ผมได้ดึงเอาจากตรงนั้นในแง่มุมโรแมนติก ผมตกหลุมรักและอกหักตั้งแต่ยังเด็ก ผมแค่อยากมีผู้หญิงคนหนึ่งที่จะอยู่ด้วยกัน ผมจึงดึงเอาประสบการณ์ในอดีตมาใช้ ซึ่งช่วยได้มาก
ในการร่วมงานกับลิซ่า เจ้าของตัวละคร ‘มุก’ ที่เป็นพาร์ตเนอร์ร่วมกับเรามากที่สุดในเรื่อง เทมได้ค้นพบมุมมองอะไรจากการทำงานกับลิซ่า?
เทม: ลิซ่าเองก็ช่วยผมไว้สุดๆ ในการต่อบท เพราะมีบทพูดภาษาไทยมากมายในเรื่องนี้ เวลาผมพูดภาษาไทยในการสนทนากับคนไทยคนอื่นๆ ผมจะใส่คำภาษาอังกฤษลงไปในส่วนที่ผมไม่สามารถแปลในหัวได้เร็วพอครับ
จะมีอยู่ในฉากหนึ่ง ที่ผมพูดว่า “Yeah” ออกมา และพวกเขา (ทีมงาน) ก็ฟีดแบ็กไว้ว่า “โอเค นั่นเผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคุณไม่ใช่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชาวไทย” เหมือนกับได้รับการอบรมมาจากที่อื่น
ลิซ่าช่วยเหลือผมไว้มาก เขาทำให้ภาษาที่พูดออกมาเหมือนกับเวอร์ชันคนทั่วไปพูดปกติมากกว่าที่จะเป็นไดอะล็อกแบบที่บทเขียนไว้ ผมเลยทำซับคาราโอเกะของตัวเองและเรียนรู้จากอันนั้นไป คือทั้งลิซ่าและผู้ช่วยของน้องช่วยเหลือผมไว้ได้เยอะ ผมรู้สึกขอบคุณมากสำหรับสิ่งนั้น
ผมคุยกับ Jason, Patrick และลิซ่าบ้างเล็กน้อย ถึงเรื่องการออกกำลังกายหรืออะไรทำนองด้วย ส่วนกับการแสดง พวกเขาให้รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ กับผม เพราะอย่างที่ผมบอก ผมไม่เคยเรียนการแสดงมาก่อน ไม่เคยเรียนหลักสูตรหรืออะไรทำนองนั้นเลย ผมก็เลยแค่คิดว่า โอเค จะเก็บมันไว้ในคลังแสงของตัวเองและจะใช้มันเมื่อไรก็ได้ คือเยี่ยมมาก มันจะช่วยผมได้มากแน่นอน
ส่วนขณะนี้ ซีรีส์ The White Lotus Season 3 ก็ได้ออนแอร์ดำเนินมาถึงอีพีที่ 5 แล้ว และเนื้อเรื่องกำลังถูกเล่าอย่างเข้มข้น พวกเราคงต้องจับตามองโค้งสุดท้ายของซีซันนี้กันให้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ซึ่งทุกคนสามารถรับชมโลกแสนตลกร้ายของซีรีส์เรื่องนี้กันได้ ผ่านทางสตรีมมิง Max และช่อง HBO โดยอีพีสุดท้ายจะออกอากาศในวันที่ 7 เมษายนนี้ ตามไทม์โซนประเทศไทย
ภาพ: The White Lotus, HBO Max