เมื่อช่วงเวลาเที่ยงของวันที่ 7 มกราคม Abel Makkonen Tesfaye หรือที่เรารู้จักกันในนาม The Weeknd ก็ได้ปล่อยสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 5 ออกมาให้ฟังกันในชื่อ Dawn FM ซึ่งผู้ชายชาวแคนาดาคนนี้ที่เกิดมาในครอบครัวที่พ่ออพยพมาจากประเทศเอธิโอเปีย ก็ได้สร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาจะไม่หยุดผลักดันและพัฒนาตัวเองให้กลายเป็นหนึ่งในศิลปินที่สำคัญสุดในประวัติศาสตร์ดนตรี เทียบเท่ากับตำนานอย่าง Michael Jackson, Prince หรือที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มี Beyonce เป็นต้น
ภาพรวมและซาวด์ดนตรีของอัลบั้ม Dawn FM เราก็ยังคงเห็น The Weeknd วนเวียนอยู่กับการสร้างแนวเพลงเฉพาะตัวเขาที่เขาอยากจะแตกต่างจากศิลปินกระแสหลักคนอื่นๆ โดยผสมผสานความเป็นซินธ์ป๊อปจากยุค 80 ให้เข้ากับดิสโก้, ฟังก์, อิเล็กทรอนิกส์ และอาร์แอนด์บี ซึ่งก็ยังเห็นได้ชัดว่า The Weeknd ได้แรงบันดาลใจจากวงอย่าง Kraftwerk จากประเทศเยอรมนี, วง Daft Punk ที่เขาเคยร่วมงานด้วยในอัลบั้ม Starboy (2016) และก็ผลงานอัลบั้ม Off the Wall (1979) และ Thriller (1982) ของ Michael Jackson ซึ่งสองอัลบั้มระดับตำนานเหล่านี้ก็ได้ Quincy Jones มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ในตอนนั้น โดยในอัลบั้ม Dawn FM ทาง The Weekend ก็ได้ Quincy Jones มาพูดประกอบ Interlude เพลงคั่นชื่อ A Tale By Quincy อีกด้วย
แม้อัลบั้ม Dawn FM จะไม่ได้เต็มไปด้วยเพลงที่การันตีว่าจะฮิตติดชาร์ตทั่วโลกเหมือนอัลบั้มก่อน After Hours (2020) ที่เปิดตัวด้วยเพลง Blinding Lights ซึ่งกลายเป็นเพลงอันดับหนึ่ง 1 ตลอดกาลของชาร์ต Billboard Hot 100 แต่สิ่งที่น่ายกย่องอย่างมากคือ The Weeknd กล้าที่จะลองเล่นกับอะไรใหม่ๆ มากยิ่งขึ้นกับอัลบั้มนี้ โดยเฉพาะด้านซาวด์ดนตรีที่โปรดักชันยิ่งใหญ่ขึ้น มีชั้นเชิงมากยิ่งขึ้น และสะท้อนว่าเขาได้ศึกษาแนวดนตรียุค 80 แบบไม่ผิวเผิน ซึ่งพอฟัง Dawn FM แล้ว กลับไม่รู้สึกว่าเป็นอัลบั้มที่มีความ Nostalgia แบบดูโบราณมากเกินไป แต่กลับมีความล้ำสมัยด้วยซ้ำ อย่างเช่นกับเพลง Gasoline ที่ The Weeknd ได้ใช้เทคนิคการร้องแบบใหม่ที่ถือว่าแหวกแนวสำหรับตัวเขา
เราก็ต้องยกความสำเร็จตรงนี้ให้ทีมโปรดิวเซอร์ที่อยู่เบื้องหลังอัลบั้มนี้ด้วย ซึ่งน่าสนใจอย่างมาก ตั้งแต่ Oneohtrix Point Never ที่เคยอยู่เบื้องหลังอัลบั้มประกอบภาพยนตร์ Uncut Gems (2019) ซึ่ง The Weeknd เคยร่วมแสดง, Oscar Holter, Max Martin, Tommy Brown ที่เป็นโปรดิวเซอร์คนโปรดของ Ariana Grande, Calvin Harris และก็วง Swedish House Mafia ที่อยู่เบื้องหลังหนึ่งในเพลงไฮไลต์ของอัลบั้มชื่อ Sacrifice ที่มีรายงานว่าจะปล่อยเป็นซิงเกิลที่ 2 ต่อจากเพลง Take My Breath
ส่วนอีกหนึ่งเพลงที่เราเชียร์ให้ The Weeknd ตัดเป็นซิงเกิลและทำมิวสิกวิดีโออย่างมากก็คือ Less Than Zero ที่เราไม่เพียงเชื่อว่าเตรียมขึ้น Top 10 ทั่วโลก แต่จังหวะดนตรีเพลงนี้ก็เปี่ยมไปด้วยพลังบวกคล้ายกับเพลงคลาสสิกของเขาอย่าง I Feel It Coming และ Save Your Tears เป็นต้น
ปิดท้ายด้วยอีกหนึ่งความสำเร็จของอัลบั้ม Dawn FM ก็คือ The Weeknd ยังคงทุ่มเทสร้างคอนเซปต์และเรื่องราวให้กับผลงานชิ้นนี้ ซึ่งเห็นได้ชัดจากปกอัลบั้มที่เขาเป็นคาแรกเตอร์ของชายวัยชราคนหนึ่ง บวกกับพอฟังอัลบั้มตั้งแต่เริ่มจนจบก็ทำในรูปแบบรายการบนคลื่นวิทยุที่ใช้ชื่อว่า 103.5 Dawn FM ซึ่งได้นักแสดงตลกระดับตำนาน Jim Carrey มาเป็นพิธีกรให้
ซึ่งในยุคสมัยนี้ ด้วยการเปลี่ยนแปลงของการเสพดนตรีผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิงเป็นหลัก หลายศิลปินระดับแถวหน้าก็พักการสร้างประสบการณ์ให้กับผู้ฟังและทำให้ทุกผลงานเป็นเหมือนอีเวนต์วาระหนึ่งที่ต้องติดตามกัน โดยสิ่งที่ทดแทนก็คือการทำเพลงสั้นๆ ไม่เกิน 3 นาที เพราะสมาธิคนสั้นขึ้น และทำมิวสิกวิดีโอง่ายๆ ถ่ายวันเดียวจบพอ แต่กับ The Weeknd นั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจเลือกทำ เพราะเขายังจะคงทำผลงานที่เต็มไปด้วยรายละเอียด มีความ Cinematic ในตัว และเป็นสิ่งที่เมื่ออีก 50 ปีข้างหน้ากลับมาฟังหรือดูก็รู้สึกว่ายังสดใหม่ โดยอัลบั้ม Dawn FM ก็ทำให้เห็นสิ่งนี้อย่างชัดเจน
*สามารถฟัง Dawn FM ได้แล้ววันนี้ทางทุกแพลตฟอร์มสตรีมมิงดนตรี
ภาพ: The Weeknd
