เราจะมีเสียงของใครสักคนอยู่ในความทรงจำเสมอ ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหนก็ตาม
และสำหรับแฟนฟุตบอลอังกฤษ เสียงนั้นคือเสียงของ จอห์น มอตสัน ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘The Voice of Football’ หรือ ‘The Voice of the Game’
คำยกย่องดังกล่าวถึง มอตสัน หรือมอตตี สุภาพบุรษชาวอังกฤษผู้สวมเสื้อโค้ตหนังแกะสีน้ำตาล พร้อมไมโครโฟนอันขนาดพอดีมือ ที่จะปรากฏตัวในรายการ Match of the Day ในช่วงค่ำหลังเกมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกจบลง ไม่ได้เกินเลยจากความจริงแต่อย่างใด
John Motson ❄️
Iconic. pic.twitter.com/NpExoDvfwN
— BBC Sport (@BBCSport) February 23, 2023
มอตสันไม่ได้เป็นแค่นักพากย์ฟุตบอลผู้เก่งกาจ แต่คุณูปการของเขาที่มีต่อเกมฟุตบอลนั้นมากมายกว่านั้นมาก
จากจุดเริ่มต้นการทำงานในการเป็นผู้สื่อข่าวให้กับ Barnet Press และ Sheffield Morning Telegraph โชคชะตาพา จอห์น มอตสัน ให้ได้มาทำงานในฐานะผู้สื่อข่าวกีฬาของสถานีวิทยุ BBC Radio 2
หลังจากนั้นไม่นานมอตสันก็เริ่มได้โอกาสในการรายงานข่าว การบรรยายเกมฟุตบอลทางวิทยุ ไปจนถึงการบรรยายทางโทรทัศน์ ซึ่งขณะนั้นเป็นยุคเริ่มต้นของกิจการโทรทัศน์ของโลก
แมตช์ที่ถือเป็นเกมแจ้งเกิดของเขาในวงการฟุตบอลคือเกมเอฟเอคัพ นัดรีเพลย์ระหว่างนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ทีมยักษ์ใหญ่ กับเฮียร์ฟอร์ด เมื่อปี 1972 ซึ่งมอตสันเป็นผู้บรรยายเกมและเป็นผู้บอกเล่าเกมสำคัญนัดนี้
“ทีมเฮียร์ฟอร์ดเต็มไปด้วยสปิริตที่ยอดเยี่ยม พวกเขาไม่ยอมแพ้เลยแม้แต่น้อย” มอตตีในระหว่างการบรรยาย “แรดฟอร์ดได้บอล…ตอนนี้ทูดอร์ของนิวคาสเซิลล้มลงไป แรดฟอร์ดได้บอลอีกครั้ง…โอ้ มันเป็นประตูที่สุดยอด! สุดยอดจริงๆ! แรดฟอร์ดเป็นผู้ทำประตูได้! รอนนี แรดฟอร์ด และตอนนี้ผู้ชมในสนามลงไปในสนามกันแล้ว คงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ในการทำให้สนามเรียบร้อย แต่มันเป็นการยิงที่สุดยอดมากจากแรดฟอร์ด”
เกมเอฟเอคัพนัดนี้ถูกเผยแพร่ทางรายการ Match of the Day รายการไฮไลต์ฟุตบอลทาง BBC ที่ชาวอังกฤษจะเฝ้ารอทุกคืนวันเสาร์ เพื่อติดตามชมบันทึกการแข่งขันแบบสั้นๆ ในแต่ละคู่ เพราะในสมัยนั้นไม่ได้มีการถ่ายทอดสดกันทุกคู่ ทุกสนาม เหมือนในปัจจุบัน ซึ่งเรื่องราวมหัศจรรย์ที่ทีมรองบ่อนอย่างเฮียร์ฟอร์ดสามารถเอาชนะทีมใหญ่อย่างนิวคาสเซิลได้ในครั้งนั้นได้รับการพูดถึงอย่างมาก
เช่นเดียวกับการบรรยายเกมที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกของมอตสันที่ทำให้แฟนฟุตบอลประทับใจ
มอตตีเคยเล่าถึงเรื่องราวในวันนั้นว่า ความจริงแล้วตอนนั้นเขายังอยู่ในระหว่างการ ‘ฝึกงาน’ กับทางสถานี BBC และการได้โอกาสบรรยายเกมในวันนั้นได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปอย่างสิ้นเชิง
“ปีนั้นผมยังอยู่ในระหว่างการฝึกงานกับสถานี มันเป็นวันที่สำคัญมากสำหรับผม วันนั้นผมคิดว่านิวคาสเซิลคงจะชนะได้ง่ายๆ” เสียงแห่งฟุตบอลเล่า “คนที่ขับรถพาผมไปส่งเฮียร์ฟอร์ดเพื่อทำงานในวันนั้นชื่อว่า บิลลี มีโดวส์ ซึ่งเขาเป็นกองหน้าของเฮียร์ฟอร์ด เขาขับพาผมกับ ริกกี จอร์จ ซึ่งเป็นคนที่ยิงประตูชัยในช่วงของการต่อเวลาพิเศษหลังจากที่แรดฟอร์ดตีเสมอจากการยิง 40 หลาได้”
“จบเกมวันนั้นบิลลีขับรถพาผมไปส่งที่บ้าน เพราะพวกเขาทั้งสองคนอยู่ใกล้กับบ้านผมที่บาร์เน็ต เราก็ไปนั่งกันในห้องนั่งเล่นของบิลลี นั่งกินฟิชแอนด์ชิปไปด้วยกันและฟังรายการ American Pie ซึ่งมาก่อน Match of the Day แล้วผมก็มารู้ว่าแมตช์ที่ผมบรรยายนั้นได้เป็นแมตช์ไฮไลต์ของรายการในวันนั้น
“หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้มองย้อนกลับไปอีกเลย เพราะ BBC รู้แล้วว่าผมสามารถพากย์ในเกมใหญ่ได้”
เรื่องนี้เป็นความจริง เพราะหลังจากนั้นมอตตีก็กลายเป็นหนึ่งในผู้บรรยายหลักของ BBC มาโดยตลอด โดยมีคู่แข่งในวงการอย่าง แบร์รี เดวีส์ อีกหนึ่งผู้บรรยายระดับคับแก้วที่มีสไตล์แตกต่างกัน
สไตล์ของมอตสันในการพากย์นั้นจะไม่ได้พากย์ฟุตบอลด้วยสำนวนรุ่มรวย ไม่เจ้าบทเจ้ากลอนเหมือนเดวีส์ (หรือในปัจจุบันผู้บรรยายฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลกคือ ปีเตอร์ ดรูรี ที่ปัจจุบันอยู่กับ CNBC) แต่จะเป็นการพากย์อย่างกระชับ เลือกใช้ถ้อยคำชัดเจน หนักแน่น และถูกต้องเสมอ
ส่วนที่ฟ้าประทานมาให้เขาคือ น้ำเสียงของมอตสันนั้นเคยมีการทดสอบโดยนักวิทยาศาสตร์และพบว่า น้ำเสียงของเขาเป็นระดับ Perfect Pitch เสมอ เรียกว่าเป็นน้ำเสียงในระดับที่น่าฟังที่สุดในโลก
แต่ The Voice of Football ไม่ได้พึ่งพาแค่พรสวรรค์ ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่ทำให้เขาอยู่ในวงการได้อย่างยาวนาน ทำงานกับ BBC ถึง 50 ปี ก่อนที่จะอำลาวงการในปี 2017 ภายหลังจากที่เริ่มป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้และเข้ารับการรักษา คือพรแสวง
เพราะส่วนเสริมที่ทำให้การพากย์ของมอตตีมีสีสันคือเรื่องของ ‘สถิติ’ และ ‘ข้อมูล’ ซึ่งจะมีการเสริมสิ่งที่น่ารู้และเป็นความรู้ให้กับผู้ชมเสมอ และความรู้อันมากมายมหาศาลที่มอตตีสั่งสมไว้นั่นเองคือสมบัติล้ำค่าที่สุดในการทำงานของเขา
โดยที่ในยุคสมัยนั้นไม่ได้มีอินเทอร์เน็ต ไม่มี OPTA ไม่มีอะไรให้ดาวน์โหลดมาได้ทั้งนั้น ข้อมูลทุกอย่างที่เขานำมาใช้ในการพากย์เกิดจากการค้นคว้าด้วยตัวเอง ซึ่งในแต่ละนัด มอตสันจะมีข้อมูลจดเอาไว้อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นสถิติหลักๆ ที่น่าสนใจ หรือข้อมูลส่วนตัวของผู้เล่นที่จะลงสนาม
ใบไลน์อัพของมอตสันที่มีการเผยแพร่ออกมาคือแบบอย่างของการทำงานที่น่ายกย่อง ซึ่งกลายป็นต้นแบบในการทำงานของนักข่าวรุ่นต่อมา
John Motson was a man I met on many occasions. He was passionate about football, the game he loved. I recall with fondness our pre-match chats. On one occasion he signed and gave me his commentary notes. He will be sorely missed. RIP John 🙏🏻 #JohnMotsonRIP pic.twitter.com/LzPOHsSOxw
— Chris Foy (@MrChrisFoy) February 23, 2023
และที่สำคัญเขารู้ว่าจังหวะไหนควรจะหยิบเอาข้อมูลเหล่านี้มาบอกเล่า เพื่อให้เกมน่าสนใจและสนุกยิ่งขึ้น
แต่สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดคือความรักและความหลงใหลในเกมฟุตบอล ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาหลงรักตั้งแต่วันที่พ่อกระเตงพาไปชมเกมฟุตบอลในสนามแมตช์แรกของชีวิต ความรักและความรู้สึกอันร้อนแรงเหล่านั้นถูกส่งผ่านน้ำเสียงของเขาตรงไปยังหัวใจของทุกคน
เสียงของมอตสันจึงฝังแน่นในความทรงจำของผู้คนมากมายจากรุ่นสู่รุ่น เป็นเสียงที่คนหลายรุ่นคุ้นเคยและคิดถึงเสมอเมื่อได้ยิน
และเขาก็ทำให้ใครหลายคนหลงรักฟุตบอล เหมือนที่แฟนฟุตบอลคนไทยรุ่นก่อนหลงรักฟุตบอลเพราะรายการ เจาะสนาม ของ เอกชัย นพจินดา หรือ ย.โย่ง (และในแบบเดียวกับที่มีแฟนมวยปล้ำมากมายเพราะน้าติง)
เพราะแบบนี้ทำให้ จอห์น มอตสัน จึงเป็นคนที่อยู่หัวใจของชาวอังกฤษและแฟนฟุตบอลอังกฤษทั่วโลก ที่มีโอกาสได้ชมไฮไลต์ฟุตบอลตั้งแต่ในยุคปฏิวัติวงการโทรทัศน์สืบมาจนถึงยุคปัจจุบัน
การจากไปของมอตสันในวัย 77 ปี จึงเป็นข่าวเศร้าอย่างยิ่งสำหรับชาวอังกฤษ
พวกเขาไม่ได้แค่สูญเสียนักพากย์ฟุตบอลไปหนึ่งคน แต่พวกเขาสูญเสียสมบัติของชาติและคนที่เป็นเหมือนญาติสนิทของคนหลายสิบล้านคน
คนที่เป็นแบบอย่างที่ดีต่อทุกคน คนที่เป็นที่รักเสมอ
แต่อย่างน้อยมอตสันก็ได้มอบช่วงเวลาและความทรงจำที่ดีให้แก่ผู้คนมากมาย และเสียงของเขาจะอยู่กับเกมฟุตบอลตลอดไป 🙂