×

The Story Behind เบื้องหลังแชมป์สุดมหัศจรรย์ของลิเวอร์พูล

26.02.2024
  • LOADING...

ถึงแม้จะเป็นเพียงถ้วยแชมป์รายการเล็กที่สุดของอังกฤษ แต่การคว้าแชมป์ฟุตบอลลีกคัพ หรือ ‘คาราบาวคัพ’ ประจำฤดูกาล 2023/24 ของทีมลิเวอร์พูล ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในการคว้าแชมป์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร

 

เหตุผลหลักนั้นมาจากการที่ทีมขาดผู้เล่นทีมชุดใหญ่มากถึง 11 คน ทำให้ผู้จัดการทีมอย่าง เจอร์เกน คล็อปป์ ต้องเข็นนักเตะเท่าที่มีลงสนามในความหมายของคำว่า ‘สู้เท่าที่มี’ จริงๆ (ซ้ำยังเสีย ไรอัน กราเฟนแบร์ก ไปในเกม จากการโดนย่ำที่ข้อเท้าจนเล่นต่อไม่ไหว)

 

ไฮไลต์อยู่ที่การยืนหยัดต่อสู้ไม่ยอมแพ้ของกลุ่มนักเตะจากอะคาเดมีของสโมสรอย่าง คอเนอร์ แบรดลีย์, บ็อบบี คลาร์ก, เจย์เดน แดนส์, เจมส์ แม็คคอนเนลล์, จาเรลล์ ควานซาห์ ไม่นับ ลูอิส คูมาส และ เทรย์ เนียวนา อีกสองดาวรุ่งที่มีชื่อบนม้านั่งสำรอง และอะคาเดมีรุ่นเดอะอย่าง ควีวิน เคลเลเฮอร์ ผู้รักษาประตูที่เป็นฮีโร่ของทีม ก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน

 

นักเตะเหล่านี้ต่อกรกับทีมมูลค่า ‘พันล้าน’ ของเชลซีได้อย่างน่าภาคภูมิใจ เคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่ๆ อย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, วาตารุ เอ็นโดะ หรือ หลุยส์ ดิอาซ ได้อย่างสง่าผ่าเผย จนทำให้ เจอร์เกน คล็อปป์ และแฟนบอลหงส์แดง ใจฟูไปตามๆ กัน

 

แต่ความสำเร็จนี้มันไม่ได้มีแค่แง่มุมความโรแมนติกลูกหนังเท่านั้น เพราะมันมีสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จที่น่าถอดรหัสและเรียนรู้ไม่น้อยเลย

 

เจมส์ แม็คคอนเนลล์ ลงมาช่วยในแดนกลางตามบรีฟได้อย่างยอดเยี่ยม

 

บรีฟดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

 

สิ่งแรกที่ต้องพูดถึงคือ ‘พิมพ์เขียว’ ของสโมสรลิเวอร์พูล ที่มีโครงสร้าง ระบบ ระเบียบ และวิธีการเล่นที่ชัดเจน หรือเอาง่ายๆ คือ ‘บรีฟดี’

 

ลิเวอร์พูลในยุคของ เจอร์เกน คล็อปป์ มีความชัดเจนว่าเล่นในรูปแบบไหน เล่นในระดับความเข้มข้นแค่ไหน ซึ่งนักเตะที่จะก้าวเข้ามาสู่ทีมได้จะรู้ว่าพวกเขาต้องทำอะไรได้บ้างถึงจะสามารถเล่นในทีมได้ ต้องวิ่งได้ระยะทางเท่าไร วิ่งสปรินต์ระยะทางเท่าไร ต้องเพรสจุดไหน ความอึดอยู่ในระดับไหน ความเร็วในการตัดสินใจ วิธีการคิด วิธีการเล่น และรายละเอียดต่างๆ

 

นั่นทำให้ไม่ว่าจะมีปัญหาตัวผู้เล่นขาดหาย เพราะอาการบาดเจ็บหรือเหตุผลอะไรก็ตาม จะมีผู้เล่นที่พร้อมก้าวขึ้นมาทดแทนได้เสมอ โดยที่รายละเอียดในการเล่นอาจจะไม่เหมือนกันเป๊ะร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่วิธีการเล่นหลักๆ ในแต่ละบทบาทจะถูกกำหนดไว้ชัดเจนอยู่แล้ว

 

นี่คือเหตุผลที่ดาวรุ่งอย่างควานซาห์, แบรดลีย์, คลาร์ก, แม็คคอนเนลล์ หรือแดนส์ สามารถลงสนามมาเล่นได้อย่างไม่เคอะเขิน

 

วาตารุ เอ็นโดะ เป็นฝ่ายทำได้ดีกว่า มอยเซส ไกเซโด ในเกมนี้

 

เลือกคนที่ใช่ ไม่ใช่คนที่ชอบ

 

หนึ่งในจุดที่ถูกจับตามองตั้งแต่ก่อนเกมคือ การดวลกันในพื้นที่กลางสนามของทั้งสองทีม ระหว่างการจับคู่ของ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ วาตารุ เอ็นโดะ ของลิเวอร์พูล กับ เอนโซ เฟร์นานเดซ และ มอยเซส ไกเซโด ของเชลซี ซึ่งโฟกัสไปอยู่ที่เรื่องของค่าตัวที่แตกต่างกันอย่างมากถึงเกือบ 5 เท่า

 

ปรากฏว่าคู่แรกเป็นฝ่ายที่สามารถทำผลงานได้ดีกว่า โดยเฉพาะเอ็นโดะที่ย้ายมาด้วยค่าตัวเพียงแค่ 17 ล้านปอนด์ กลายเป็นเสาหลักในแดนกลางที่เก็บกวาดงานและขับเคลื่อนทีมได้อย่างน่าประทับใจ สวนทางกับไกเซโด ซึ่งเดิมเป็นเป้าหมายที่ลิเวอร์พูลอยากได้เหมือนกัน แต่สุดท้ายดีลล่ม เพราะนักเตะต้องการย้ายไปเชลซีตามความปรารถนาเดิมมากกว่า

 

ไม่มีใครรู้หรอกว่าถ้าไกเซโดย้ายมาลิเวอร์พูลจะเป็นอย่างไร แต่ผลงานของเอ็นโดะคือเครื่องสะท้อนให้เห็นว่า การเลือกนักเตะเข้าทีมอย่างถูกต้องนั้นต้องดูหลายองค์ประกอบ เลือกคนที่ใช่และเหมาะสมกับทีม วัฒนธรรมของทีม ไม่ได้ดูแค่สถิติหรือค่าตัวอย่างเดียว

 

ไม่มีคำว่ากลัวสำหรับ คอเนอร์ แบรดลีย์ 

 

Mentality ใจถึงพึ่งได้

 

ตั้งแต่วันแรกที่คล็อปป์เปิดตัวเป็นนายใหญ่คนใหม่ของลิเวอร์พูล คำพูดแรกที่จับใจทุกคนคือ การบอกว่าเขาต้องการ ‘เปลี่ยนคนที่เคยสงสัยให้กลายเป็นคนที่มีความเชื่อ’

 

ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันทำแบบนั้นได้จริงๆ ตลอดช่วงระยะเวลา 8 ปีเศษที่ผ่านมา คล็อปป์ทำให้ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมที่ใจใหญ่กว่าฝีเท้า ที่ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์ยากลำบากแค่ไหนก็สามารถกลับมาได้เสมอ จนได้รับการเปรียบเปรยว่าเป็น ‘Mentality Monster’

 

ความสุดยอดคือ แนวคิดและจิตใจนี้ถูกส่งต่อมาจนถึงเด็กๆ ดาวรุ่งในทีมไปด้วย เจ้าหนูจากอะคาเดมีอย่างคลาร์กหรือแม็คคอนเนลล์สามารถต่อกรช่วงชิงเกมแดนกลางกับเชลซีที่มีนักเตะระดับแชมป์โลกอย่าง เฟร์นานเดซ หรือกองกลางที่ค่าตัวแพงที่สุดในพรีเมียร์ลีกอย่างไกเซโดได้อย่างน่าประทับใจ

 

ไม่นับแบรดลีย์ที่งัดกับ เบน ชิลเวลล์ จนกลายเป็นหนึ่งในซีนจดจำของเกมนี้

 

มันทำให้เราได้เห็นว่า คนเราเมื่อเป็นคนที่มีความเชื่อ (Believer) แล้ว ไม่ว่าจะเรื่องใหญ่แค่ไหนเราก็ทำได้ ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว

 

บ็อบบี คลาร์ก, เบน โด๊ก และ เจมส์ แม็คคอนเนลล์ ส่วนหนึ่งของดอกไม้ที่บานในเคิร์กบี

 

ทุ่งดอกไม้ที่เคิร์กบี

 

มีการพูดแซวกันว่า แชมป์รายการนี้ของลิเวอร์พูลเหมือนแชมป์รายการเอฟเอยูธคัพ

 

อันนั้นก็ขิงกันพอสนุกปาก แต่ในความเป็นจริงแล้วนี่คือชัยชนะของ ‘เคิร์กบี’ หรือศูนย์ฝึก Axa Training Center ซึ่งตั้งอยู่ในย่านเคิร์กบีที่เป็นมากกว่าแค่สนามซ้อมทั่วไป

 

ที่ศูนย์ฝึกแห่งนี้ไม่ได้รองรับเฉพาะแค่ทีมชุดใหญ่อย่างเดียวเท่านั้น แต่รวมถึงทีมอะคาเดมีทุกชุดและทีมฟุตบอลหญิงด้วย ซึ่งนั่นหมายถึงความใกล้ชิดระหว่างทีมทุกชุดของสโมสร นอกจากสตาฟฟ์ชุดใหญ่จะได้เห็นแววของเด็กๆ แล้ว เด็กๆ เองก็ได้เรียนรู้จากการเฝ้าดูทีมชุดใหญ่ลงฝึกซ้อม ไปจนถึงมีโอกาสได้ซ้อมร่วมกันด้วย

 

ช่วงเวลาเหล่านี้แหละที่เป็นเหมือนการปลูกหย่อนเมล็ดพันธุ์ไว้ในทุ่งที่เริ่มตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว หลังทีมชุดใหญ่ย้ายมาจากสนามซ้อมในตำนานอย่างเมลวูด

 

ภาษิตจีนมีคำกล่าวว่า ‘สือเต่าฮัวจิ้วไค’ ที่แปลว่า ‘เมื่อถึงเวลาดอกไม้จะบานเอง’

 

ตอนนี้แหละคือเวลานั้นของลิเวอร์พูล

 

คล็อปป์กับถ้วยแชมป์ใบแรกในฤดูกาลอำลา

 

เกมกลยุทธ์

 

สุดท้ายสิ่งที่ทำให้ลิเวอร์พูลคว้าชัยชนะได้คือ การวางแผนของผู้จัดการทีมอย่างคล็อปป์ ซึ่งไม่ได้เพียงแค่วางหมากในการต่อสู้กับเชลซี แต่ต้องมีการปรับหมากการเล่นตลอดทั้งเกม

 

เพราะนอกจากข้อจำกัดเรื่องตัวผู้เล่นที่ห่างไกลจากคำว่าฟูลทีมมากมายนัก ตลอดทั้งเกมลิเวอร์พูลยังเจอปัญหาจากความสามารถเฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยมของนักเตะเชลซี โดยเฉพาะ โคล พาลเมอร์ เพลย์เมกเกอร์ดาวรุ่งตัวกลั่นที่อันตรายที่สุด ความขยันของ คอเนอร์ กัลลาเกอร์ และความเร็วของแนวรุกอย่าง นิโคลัส แจ็คสัน กับ ราฮีม สเตอร์ลิง

 

คล็อปป์ยังต้องเปลี่ยนแปลงทีมตลอด ไม่ว่าจะจากอาการบาดเจ็บของกราเฟนแบร์ก ที่ส่งผลให้ต้องสลับตำแหน่งของแบรดลีย์ไปยืนเป็นปีกขวาจำเป็น หรือ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ที่เริ่มจากปีกขวา กลับมาเป็นมิดฟิลด์ และกลับไปยืนปีกขวาอีกครั้งในเกมเดียวกัน

 

แต่สำคัญที่สุดคือ แม้จะเจอความยากลำบากแค่ไหน คล็อปป์ยืนยันจะให้ลิเวอร์พูลเล่นในแบบของตัวเอง โดยเฉพาะในช่วงของการต่อเวลาพิเศษ

 

ลิเวอร์พูลเล่นด้วยความกล้าหาญ มั่นใจ และไม่ยอมแพ้ ในขณะที่เชลซีที่มีโอกาสจะ ‘ปลิดวิญญาณ’ ลิเวอร์พูลได้หลายต่อหลายครั้งกลับผ่อนเกมไปเองในช่วงของการต่อเวลาพิเศษ จนสุดท้ายพลาดเสียประตูในช่วงท้ายเกม ไม่สามารถหาทางกลับมาได้

 

และทั้งหมดคือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังชัยชนะที่ยิ่งใหญ่และน่าเหลือเชื่อที่สุดครั้งหนึ่งของลิเวอร์พูล

 

ถ้วยแชมป์ใบเล็กที่สุด แต่มีความหมายและสะท้อนเรื่องราวของลิเวอร์พูลในยุคของคล็อปป์ได้อย่างดีที่สุด

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X