หมายเหตุ: บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของซีรีส์ The Sandman
นอกจากเรื่องราวดาร์กแฟนตาซีสุดเข้มข้น และฉากหลังที่เปี่ยมไปด้วยจินตนาการอันล้นเหลือ อีกหนึ่งความโดดเด่นของ The Sandman ซีรีส์เรื่องล่าสุดจาก Netflix ที่ดัดแปลงมาจากคอมิก DC ของนักเขียนชื่อดังอย่าง Neil Gaiman คือการพาผู้ชมไปสำรวจแง่มุมของมนุษย์อย่างลึกถึงแก่นผ่านการเดินทางของ Dream หรือ Morpheus (Tom Sturridge) ราชาแห่งความฝัน
จึงทำให้ The Sandman เป็นซีรีส์ที่อัดแน่นไปด้วยหลากหลายประเด็น ให้ผู้ชมได้ร่วมกันตีความและแบ่งปันความคิดเห็น THE STANDARD POP จึงถือโอกาสรวบรวม 5 บทสนทนาจากซีรีส์ The Sandman ที่สะท้อนให้เห็นว่า ‘แม้กาลเวลาจะเปลี่ยน แต่ความหวังไม่มีวันเลือนหาย และมนุษย์ยังมีแง่งามอยู่ในจิตใจเสมอ’
สามารถรับชมซีรีส์ The Sandman ทั้ง 10 อีพีได้แล้วทาง Netflix
รับชมตัวอย่างได้ที่
https://www.youtube.com/watch?v=khOKYgfTPas
หลังจากที่ Dream ถูกมนุษย์อย่าง Roderick Burgess (Charles Dance) จองจำเป็นเวลาร่วมศตวรรษ จนเป็นเหตุให้โลกแห่งยามตื่นเกิดความวุ่นวาย จึงไม่แปลกนักหาก Dream จะเริ่มรู้สึกหมดศรัทธาและไม่เชื่อใจในตัวมนุษย์อีก แต่ดูเหมือนว่าในระหว่างการเดินทางตามหาเครื่องมือทั้ง 3 ชิ้น จะทำให้ Dream ได้ค้นพบและเข้าใจมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ
หนึ่งในนั้นคือเหตุการณ์ที่ Dream ต้องออกเดินทางตาม Johanna Constantine (Jenna Coleman) ไปยังห้องพักของ Rachel (Eleanor Fanyinka) แฟนสาวของเธอ เพื่อตามหาถุงทราย แต่เมื่อพวกเขาไปถึง พลังของถุงทรายกลับส่งผลให้ร่างกายของ Rachel ซูบผอมลงอย่างผิดปกติ จนเธอใกล้จะหมดลมหายใจเต็มที Dream ที่พึ่งจะได้เครื่องมือของตนเองกลับมาก็เลือกที่จะปล่อย Rachel เอาไว้ เพราะเขาทราบดีว่าเธอไม่มีโอกาสรอดแล้ว
“ไหนว่าอยากได้ทรายคืนเพื่อจะได้ช่วยมนุษย์ไง ก็เธอนี่แหละมนุษย์ แต่เราทุกคนเป็น Roderick Burgess สำหรับท่าน ท่านสนแต่ทรายและพลังของท่านเท่านั้น แล้วจะมีท่านไว้ทำไม”
ดูเหมือนว่าประโยคที่อัดแน่นไปด้วยความโกรธเกรี้ยวของ Johanna ประโยคนี้จะกลายเป็นกระจกที่สะท้อนให้ Dream ได้กลับมาทบทวน ‘ความตั้งใจ’ ของตนเองที่อยากจะแก้ไขความวุ่นวายต่างๆ อีกครั้ง ว่าตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่และทำด้วยเหตุผลอะไรกันแน่ Dream จึงเดินกลับมาโปรยทรายให้ Rachel ได้หลับใหล และใช้เวลาร่วมกับคนรักอีกครั้งในดินแดนแห่งความฝัน ก่อนที่เธอจะจากไปอย่างสงบ
แม้ว่า Dream จะไม่สามารถช่วยชีวิตของ Rachel ไว้ได้ก็จริง แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ก็ทำให้ Dream ได้เห็นถึงความสัมพันธ์ของ Johanna และ Rachel ที่ยังคงรักและเป็นห่วงกันจนวาระสุดท้าย ซึ่งบทสนทนาสุดท้ายของ Johanna ก็จุดประกายให้เขามองเห็นแง่งามของมนุษย์ จนทำให้เขากลับมาศรัทธาในตัวมนุษย์อีกครั้ง
“เธอเป็นคนดีจริงๆ โลกนี้ก็มีคนดีอยู่บ้างนะ ทุกคนไม่ได้เป็นแบบฉันหรือ Roderick Burgess กันหมดหรอก”
“แต่เจ้าไม่ใช่ Roderick Burgess”
หนึ่งในฉากอันน่าจดจำของซีรีส์ The Sandman ที่ถูกนำเสนอออกมาได้อย่างโดดเด่น เห็นจะเป็นฉากการเผชิญหน้ากันระหว่าง Dream ราชาแห่งความฝัน และ Lucifer Morningstar (Gwendoline Christie) ผู้ปกครองนรก
แม้การต่อสู้ครั้งนี้จะไม่ได้เป็นฉากที่ Dream และ Lucifer ออกมาสำแดงฤทธิ์เดชให้เราได้ชมมากมายนัก แต่ผู้สร้างก็สามารถนำเสนอการประลองของทั้งคู่ออกมาได้อย่างมีเสน่ห์ ด้วยการเลือกสิ่งที่แข็งแกร่งกว่ามาทำลายฝ่ายตรงข้าม ไล่เรียงตั้งแต่หมาป่าที่ถูกนายพรานสังหาร, อสรพิษที่สังหารอาชาของนายพราน, นกล่าเหยือที่สังหารอสรพิษ, แบคทีเรียที่สังหารสิ่งมีชีวิต, โลกที่คอยหล่อเลี้ยงทุกชีวิต, อุกกาบาตที่ทำลายดาวเคราะห์, จักรวาลที่โอบกอดทุกสรรพชีวิต และความตายที่เป็นจุดสิ้นสุดของทุกสรรพสิ่ง ก่อนที่ในท้ายที่สุด Dream ที่กำลังเข้าตาจน จะเลือกสิ่งที่เหนือความคาดหมายของ Lucifer (และผู้ชม) อย่าง ‘ความหวัง’ จน Lucifer ยอมแพ้ และสั่งให้ปีศาจคืนเครื่องมือให้กับ Dream ในที่สุด
หากสังเกตจากสิ่งที่ทั้งคู่เลือกมาใช้ต่อกรกันแล้ว ทั้งหมดล้วนสื่อถึงจุดจบของชีวิตด้วยกันทั้งสิ้น ยกเว้นเพียง 3 สิ่งสุดท้ายที่ Dream เลือกมา อย่างโลกและจักรวาลที่เป็นสถานที่ให้กำเนิดและดูแลสิ่งมีชีวิต รวมถึงสิ่งที่เป็นนามธรรมมากๆ อย่าง ‘ความหวัง’ ซึ่งเราอาจตีความเหตุการณ์นี้ได้ในแง่มุมหนึ่งว่า ณ ช่วงเวลาที่เราเดินทางมาถึงทางตัน และต้องเผชิญกับหมอกควันแห่งความทุกข์และเศร้าโศกที่มาบดบังทางออก ขอจงโอบกอดความหวังไว้ให้มั่น เพื่อให้ความหวังเป็นแสงสว่างเล็กๆ ที่ช่วยนำทางเราไปสู่ทางออกของปัญหาที่กำลังเผชิญ เพราะไม่มีสิ่งใดอีกแล้วที่จะมาทำลายความหวังในจิตใจลงได้ แม้กระทั่งดินแห่งนรกก็ยังมีแสงแห่งความหวังสอดส่องมาถึง เช่นเดียวกับที่ Dream ได้กล่าวถามผู้ปกครองนรกในตอนสุดท้าย และสามารถเอาชนะการประลองมาได้ในที่สุด
“ตาท่านแล้ว Lightbringer อะไรคือสิ่งที่ทำลายความหวัง”
แม้ว่า Hob Gadling มนุษย์ผู้ได้รับโอกาสให้มีชีวิตเป็นนิรันดร์ จะมีบทบาทในซีรีส์ The Sandman เพียง 1 อีพีเท่านั้น แต่คงปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่า เรื่องราวมิตรภาพที่ยาวนานนับร้อยปีของ Hob และ Dream เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่สร้างรอยยิ้มและความประทับใจให้กับผู้ชมได้เป็นอย่างดี
แต่นอกจากมิตรภาพของทั้งคู่แล้ว อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ เรื่องราวการใช้ชีวิตของ Hob ที่เรียกได้ว่า ‘ขึ้นสุดลงสุด’ ในทุกๆ ศตวรรษ ไล่เรียงตั้งแต่การเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ สู่การได้รับตำแหน่งเป็นอัศวินที่มีกินมีใช้เหลือเฟือ ก่อนที่ชีวิตจะดิ่งลงไปเป็นคนยากจนที่สูญเสียทั้งภรรยาและลูก และกลับขึ้นมาเป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่งที่เปิดร้านเบียร์เป็นของตัวเอง เพื่อที่จะรอพบกับเพื่อนสนิทในทุกๆ ร้อยปี
เรื่องราวของ Hob แสดงให้เราเห็นอย่างหนึ่งว่า แม้จะผิดพลาดอยู่หลายครั้ง แต่ไม่มากก็น้อยมนุษย์ต่างพยายามเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนที่ดีขึ้นเสมอ และหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ใครสักคนอยากจะปรับปรุงตัวคือ การได้มีมิตรภาพดีๆ ที่คอย ‘รับฟัง’ และ ‘แนะนำ’ เราด้วยความหวังดีจากใจจริง
“นั่นอาจเป็นสิ่งเดียวที่ข้าเรียนรู้ หลังจากอยู่มา 500 ปี ผู้คนมักเป็นคนดีกว่าที่เราคิดเสมอ แต่ไม่ใช่ข้า ข้าเหมือนเดิมตลอด”
“ข้าคิดว่าบางทีเจ้าอาจจะเปลี่ยนไป”
“ข้าอาจเรียนรู้จากความผิดพลาดของข้ามาบ้าง แต่ดูเหมือนข้าก็ยังทำพลาดอยู่เรื่อยๆ”
“Rose คิดเหรอว่าฉันอยากอยู่ที่นี่ คอยทำความสะอาดให้ Barbie กับ Ken อย่าเข้าใจผิดนะ ฉันรักคู่นั้น พวกเขาเป็นคนดี แต่ถ้าพรุ่งนี้บรอดเวย์โทรมา ฉันจะขายบ้านเฮงซวยนี้ แล้วจะไม่คิดถึงคนพวกนี้อีกเลย ไปเรียนเสีย เขียนนิยายเกี่ยวกับฉัน แต่เขียนเสียตอนนี้ ตอนที่ฉันยังสวยพอจะแสดงเป็นตัวเองในหนัง เพราะนี่ไม่ใช่ความฝันฉันเลย”
ประเด็นสำคัญข้อหนึ่งที่ซีรีส์ The Sandman พยายามนำเสนอผ่านเรื่องราวการเดินทางของ Dream ในทุกตอนคือ ขุมพลังของความฝันที่ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ที่เราได้ไปเยือนเมื่อยามหลับใหล แต่ความฝันยังสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ใครสักคนหนึ่งได้ค้นพบสิ่งที่เราเป็นเรา ค้นพบเส้นทางที่เราอยากจะเดิน ค้นพบคุณค่าในตัวตนของเรา พร้อมกับปลุกให้เราลุกขึ้นมาลงมือทำสิ่งๆ นั้นให้กลายเป็นจริงในยามตื่น
และหนึ่งในตัวละครที่ถ่ายทอดประเด็นดังกล่าวออกมาได้อย่างชัดเจนคือ Hal Carter (John Cameron Mitchell) เจ้าของบ้านพักผู้ใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักแสดงละครบรอดเวย์ชื่อดัง เขาจึงมุ่งหน้าสู่นิวยอร์ก และใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของละครบรอดเวย์ แต่ดูเหมือนว่าความจริงกับความฝันที่เขาวาดไว้จะสวนทางกันโดยสิ้นเชิง Hal จึงตัดสินใจกลับมาดูแลบ้านพักของตัวเอง และเก็บความฝันของการเป็นนักแสดงละครบรอดเวย์ไว้ในลิ้นชัก
แต่เมื่อ Hal โคจรมาพบกับ Rose Walker (Vanesu Samunyai) ผู้เป็น Vortex ที่มีพลังในการเข้าแทรกแซงฝันของผู้อื่นได้ ซึ่งในทุกๆ ครั้งที่ Rose เข้าไปอยู่ในความฝันของ Hal เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เขามักจะฝันถึงตนเองที่กำลังแสดงบนเวทีด้วยใบหน้าเปี่ยมสุขอยู่เสมอ
กระทั่งเรื่องราวอันวุ่นวายได้สิ้นสุดลง Hal ที่ฝันเห็นตัวเองอยู่บนเวทีในทุกค่ำคืน และการได้มาทำความรู้จักกับ Rose ก็ได้สร้าง ‘ความหวัง’ และ ‘แรงบันดาลใจ’ ให้เขาตัดสินใจขายบ้านของตัวเองในทันที เพื่อไปทำตาม ‘ความฝัน’ ที่อยากจะเป็นนักแสดงละครบรอดเวย์อีกครั้ง
“เมื่อคืนฉันฝัน และตอนนี้ฉันคิดว่าถ้าเกิดฉันขายบ้านแล้วย้ายบ้านกลับไปนิวยอร์กล่ะ”
“ข้าเคยเป็นอย่างอื่น ก่อนที่ท่านจะแต่งตั้งข้าเป็นบรรณารักษ์ของท่าน เราล้วนเปลี่ยนไป แม้แต่ท่านเองก็ตาม อาจเปลี่ยนไปสักวัน”
นี่คือประโยคที่ Lucienne (Vivienne Acheampong) บรรณารักษ์แห่งดินแดนความฝันได้กล่าวไว้กับ Dream หลังจากที่เขาตัดสินใจกักขัง Gault (Ann Ogbomo) หนึ่งในฝันร้ายที่หลบหนีไปจากดินแดนความฝัน เพราะตนเองไม่อยากสร้างความหวาดกลัวให้กับมนุษย์ แต่อยากจะเป็นความฝันที่สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คนมากกว่า
ซึ่งดูเหมือนว่าคำพูดดังกล่าวของ Lucienne จะไม่เกินความจริง เพราะหากเราย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น Dream ดูจะเป็นราชาแห่งความฝันที่มาพร้อมกับใบหน้าไร้อารมณ์ เย่อหยิ่ง คิดว่าตนเองสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้เพียงลำพัง และมองว่ามนุษย์ทุกคนต่างเป็นแบบเดียวกับ Roderick Burgess ที่คุมขังเขาเอาไว้และใช้พลังของเครื่องมือทั้ง 3 อย่างเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
แต่หลังจากที่ Dream ได้เข้าไปพัวพันกับผู้คนและเหตุการณ์วุ่นวายต่างๆ นานา เราก็ค่อยๆ สัมผัสได้ถึง ‘ความเปลี่ยนแปลง’ ของ Dream ชัดเจนมากขึ้น ทั้งการที่เขาได้มาพบกับ Johanna ซึ่งทำให้เขากลับมาศรัทธาในตัวมนุษย์อีกครั้ง, การได้สนทนากับพี่สาวอย่าง Death (Kirby Howell-Baptiste) ที่ทำให้เขามองเห็นเป้าหมายของตัวเองชัดเจนขึ้นกว่าเดิม, การได้พูดคุยกับ Hob ในทุกๆ 100 ปีที่ทำให้เขาได้เข้าใจความหมายของคำว่ามิตรภาพ, การตัดสินใจกักขังฝันร้ายอย่าง Gault ที่ทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าจิตใจของผู้คนเปลี่ยนแปลงได้เสมอ และการยอมรับว่าตัวเองคิดผิดกับ Lucienne ที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ว่าตนเองไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งอย่างได้ และการไหว้วานให้ผู้อื่นช่วยเหลือก็ไม่ได้หมายความตนเองอ่อนแอเสมอไป
สิ่งเหล่านี้ได้ ‘เปลี่ยนแปลง’ ให้ Dream ผู้มีใบหน้าไร้อารมณ์ เริ่มมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้ามากขึ้น รวมถึงสีหน้าและแววตาที่บ่งบอกอารมณ์และความรู้สึกมากขึ้น
ดังนั้นแล้วเราจึงอาจตีความเรื่องราวทั้งหมดที่ซีรีส์ The Sandman กำลังนำเสนอได้ในแง่มุมหนึ่งว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเสมอ ไม่เว้นแม้แต่จิตใจของมนุษย์ จงโอบรับและเรียนรู้จากความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น ขณะเดียวกันสิ่งหนึ่งที่ยังคงเดิมเสมอคือ ‘ความหวัง’ ที่จะไม่มีวันเลือนหาย และไม่ว่าจิตใจมนุษย์จะแปรเปลี่ยนไปอย่างไร มนุษย์ก็ยังคงมีแง่งามอยู่ในจิตใจเสมอ
“ข้าไม่มีสิทธิ์จะกลับมาที่นี่หลังจาก 1 ศตวรรษผ่านไป แล้วหวังว่าทุกสิ่งจะเป็นเหมือนตอนข้าจากไป Lucienne พยายามบอกข้าเรื่องนั้น บัดนี้ข้ากำลังรับฟังหรือพยายามอยู่ เหล่าความฝันใหม่ เหล่าฝันร้ายใหม่ ยุคใหม่”
ภาพ: Netflix