ท่ามกลางความงดงามของมหานครปารีส ที่ซึ่งความหรูหราและความทรงจำทางประวัติศาสตร์ผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว หนึ่งในสถานที่ชวนเราฝันถึงจะต้องมีชื่อของโรงแรม The Ritz Paris โรงแรมนี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่พักผ่อนที่มีชื่อเสียงในด้านงานบริการชั้นเลิศ แต่เป็นสัญลักษณ์ของความสง่างามที่สะท้อนถึงศิลปะการใช้ชีวิตของเหล่าชนชั้นสูง ซึ่งได้ต้อนรับบุคคลสำคัญ ศิลปิน และผู้ทรงอิทธิพลจากทั่วโลกมานับไม่ถ้วน
เหนือจากการสร้างความประทับใจในฐานะโรงแรมหรูระดับโลก The Ritz Paris ยังได้สร้างปรากฏการณ์อันน่าทึ่ง ด้วยการเป็นจุดเชื่อมโยงกับเรื่องราวทางวัฒนธรรมและแฟชั่นมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่การเป็นบ้านของบุคคลผู้เป็นตำนานอย่าง Coco Chanel และ Anna Wintour ไปจนถึงการจัดแฟชั่นโชว์สุดอลังการของ CHANEL และการร่วมมือกับแบรนด์แฟชั่นชื่อดังอย่าง Frame
THE STANDARD POP จึงอยากพาทุกคนไปย้อนรอย 7 เรื่องราวเบื้องหลังโรงแรมซึ่งเป็นที่พักในฝันของนักเดินทางทั่วโลก ตั้งแต่วันเปิดฉากที่ฝังรากลึกในใจกลางกรุงปารีส ไปจนถึงเรื่องราวของบุคคลสำคัญที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในโรงแรมแห่งนี้ และมรดกวัฒนธรรมที่ถูกถ่ายทอดผ่านประสบการณ์การพักผ่อนที่ไม่เหมือนใคร เพื่อให้คุณได้สัมผัสเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของ The Ritz Paris อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
HISTORICAL LOCATION
The Ritz Paris แห่งนี้ตั้งอยู่ที่หมายเลข 15 จัตุรัส Place Vendôme หนึ่งในจัตุรัสที่สวยงามและมีชื่อเสียงที่สุดในกรุงปารีส รายล้อมไปด้วยร้านค้าลักชัวรีแบรนด์ชั้นนำและสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย โรงแรมแห่งนี้เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1898 โดย César Ritz เจ้าของฉายา King of Hoteliers and Hotelier to Kings ผู้ถูกยกย่องให้เป็นบิดาแห่งการโรงแรมด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกลและความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ประสบการณ์การบริการที่เหนือระดับ ทำให้ The Ritz Paris กลายเป็นโรงแรมแรกในยุโรปที่นำเสนอนวัตกรรมล้ำสมัยอย่างห้องน้ำส่วนตัว โทรศัพท์ และไฟฟ้าในทุกห้องพัก ซึ่งดึงดูดแขกผู้มีชื่อเสียงจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ นักการเมือง นักเขียน ดาราภาพยนตร์ และนักร้อง ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ของปารีสในฐานะเมืองแห่งแฟชั่นและวัฒนธรรม
นอกจากชื่อเสียงเรื่องความหรูหราเหนือชั้นแล้ว สถานที่แห่งนี้ยังเป็นแหล่งบันทึกช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อโรงแรมถูกกองทัพนาซีเข้ายึดครอง และกลายเป็นสำนักงานใหญ่ของหนึ่งในกลุ่มผู้นำทางทหารอย่าง Hermann Göring ซึ่งถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาที่มืดมน แต่หลังผ่านพ้นสงครามไป The Ritz Paris ก็สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและรักษาความสง่างามท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ด้วยการสามารถกลับคืนสู่สถานะโรงแรมหรูหราอีกครั้งนั่นเอง
ANNA WINTOUR APPROVES
บุคคลที่มีอิทธิพลสูงสุดในวงการแฟชั่นที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับโรงแรมแห่งนี้นั่นคือ Anna Wintour บรรณาธิการบริหารของนิตยสาร Vogue อเมริกา ผู้หญิงที่อยู่เบื้องหลังการกำหนดเทรนด์แฟชั่นระดับโลก ซึ่งหนึ่งในเรื่องที่ขึ้นชื่อของเธอก็คือการวางมาตรฐานสูงและความเข้มงวด ที่ไม่ได้จำกัดเพียงเรื่องแฟชั่นเท่านั้น แต่รวมถึงไลฟ์สไตล์ในทุกๆ มิติ โดยมีรายงานว่าจากตารางงานที่แน่นขนัดและไลฟ์สไตล์ที่เต็มไปด้วยความหรูหรา ทำให้ทุกครั้งที่เธอเดินทางมา Paris Fashion Week นั้น Anna Wintour จึงเลือกพักที่ The Ritz Paris เพียงแห่งเดียวเท่านั้น อีกทั้งยังใช้เป็นสถานที่จัดงานสังสรรค์พบปะผู้คนสำคัญในวงการแฟชั่น ด้วยเหตุผลด้านความเพียบพร้อมของโรงแรม ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกสบาย การบริการแบบ Personalized การตกแต่งที่ไม่ฉูดฉาดแต่สมบูรณ์แบบ รวมไปถึงความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยระดับสูง ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงคุณภาพ ความหรูหรา และเอกลักษณ์ของโรงแรมแห่งนี้ ที่ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายเสมือนพักอาศัยในบ้านเลยทีเดียว
COCO CHANEL SUITE
สำหรับเหล่าคอแฟชั่นคงรู้กันดีว่า Coco Chanel ดีไซเนอร์ชื่อดังนั้นมีอพาร์ตเมนต์สุดหรูที่ 31 Rue Cambon อยู่แล้ว แต่ The Ritz Paris ที่อยู่ตรงข้ามกลับเป็นสถานที่ที่เธอเลือกนอนทุกวันในห้องหมายเลข 302 เป็นระยะเวลากว่า 34 ปี จนกระทั่งเสียชีวิตลงในห้องพักนี้เมื่อปี ค.ศ. 1971 ซึ่งในเวลาต่อมา ค.ศ. 2012 โรงแรม Ritz Paris ได้ปิดปรับปรุงครั้งใหญ่ ห้องสวีทของ Chanel จึงถูกย้ายลงมาหนึ่งชั้น กลายเป็นห้องหมายเลข 202 เพื่อให้สามารถมองเห็นวิวของ Place Vendôme และ Vendôme Column ที่เป็นแรงบันดาลใจของงานดีไซน์ฝาขวดน้ำหอม CHANEL No. 5 ทรงแปดเหลี่ยมได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงยังร่วมมือกับ Karl Lagerfeld ดีไซเนอร์ระดับตำนานและอดีตครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของ CHANEL ในการสร้างสรรค์พื้นที่ทั้ง 188 ตารางเมตรของห้องสวีทนี้ขึ้นใหม่ให้สะท้อนถึงโลกของ Chanel ทุกย่างก้าว เพื่อให้ผู้เข้าพักได้รับประสบการณ์และสัมผัสบรรยากาศตามแบบฉบับของตำนานแห่งวงการแฟชั่นอย่างแท้จริง
FRAME COLLABORATION
ความลักชัวรีเหนือระดับไม่ได้หยุดอยู่เพียงตัวโรงแรมเท่านั้น The Ritz Paris ยังได้จับมือกับ FRAME แบรนด์แฟชั่นจากลอสแอนเจลิส หยิบยกเอาแรงบันดาลใจจากความสง่างามและความคลาสสิกของโรงแรมมาถ่ายทอดผ่านคอลเล็กชันพิเศษ FRAME x Ritz Paris และนำโลโก้ของโรงแรมมาผสมผสานกับดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของ FRAME โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำเสนอความเป็นปารีสและความหรูหราของ The Ritz Paris ให้กับผู้ที่ชื่นชอบแฟชั่นทั่วโลก โดยหลังจากเผยโฉมคอลเล็กชันแรกออกมาในเดือนกันยายน ค.ศ. 2021 ประกอบด้วยเสื้อผ้าและแอ็กเซสซอรีคุณภาพสูงทั้งหมด 22 ชิ้น และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วจนทำให้มีการขยายไลน์สินค้า และออกไอเท็มใหม่ๆ เช่น ชุดนอน, ชุดวอร์ม, สนีกเกอร์ หรือไอเท็มสำหรับเด็กและสัตว์เลี้ยง เป็นคอลเล็กชันลิมิเต็ดสำหรับแต่ละปี ที่ทำให้ผู้สวมใส่ได้สัมผัสความสง่างามแบบปารีเซียงและความชิคแบบอเมริกันไปพร้อมกัน
CHANEL MÉTIERS D’ART SHOW
สายสัมพันธ์ระหว่าง The Ritz Paris และ CHANEL ยังคงดำเนินเรื่อยมาอย่างแน่นแฟ้นกว่าหลายทศวรรษ โดยหนึ่งหมุดหมายที่ตอกย้ำความสำคัญของสถานที่แห่งนี้ให้คนทั่วโลกได้เห็นอีกครั้งนั่นคือแฟชั่นโชว์คอลเล็กชัน CHANEL 2016/17 Métiers d’art ที่ Karl Lagerfeld ได้เลือกโรงแรมนี้เป็นฉากหลังนำเสนอผลงานประจำซีซันภายใต้ชื่อ Paris Cosmopolite นำเอาสไตล์ของ Café Society มาเป็นแรงบันดาลใจ ถ่ายทอดบรรยากาศของสาวปารีเซียงแทรกด้วยลุคของหนุ่มๆ ที่มาพบปะกันในแต่ละช่วงเวลาที่ The Ritz Paris กลายเป็นผลงานดีไซน์กว่า 78 ลุค ที่มีไอเท็มเด่นมากมาย เช่น แจ็กเก็ตเข้ารูปและโค้ตผ้าทวีด สเวตเตอร์ปักลาย กางเกงสไตล์ Capri และชุดเดรสกลางคืน นำโดยแบรนด์แอมบาสเดอร์สาวอย่าง Lily-Rose Depp, Alice Dellal, Georgia-May Jagger และเจ้าของฉายา CHANEL DUO อย่าง Pharrell Williams และ Cara Delevingne ที่ทยอยเดินออกมาท่ามกลางเสียงดนตรีสไตล์ Synth-Pop และ Disco เรียกได้ว่าเป็นโชว์ที่สะท้อนความประณีตและความชำนาญของสตูดิโอ Métiers d’art ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ให้ความรู้สึกทั้งหรูหรา สนุกสนาน เย้ายวน แต่ยังสง่างามตามแบบฉบับของ CHANEL
CULINARY LEGACY
การบริการชั้นเลิศและดีไซน์หรูหราอันเป็นเอกลักษณ์อาจเป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนรู้จัก The Ritz Paris แต่สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่รักจากผู้คนทั่วโลกคือมรดกทางวัฒนธรรมด้านอาหารที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและความพิถีพิถัน เริ่มตั้งแต่วันเปิดตัวที่ César Ritz ผู้ก่อตั้งโรงแรม ได้ร่วมมือกับ Auguste Escoffier เชฟระดับตำนานในยุคนั้น เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์การรับประทานอาหารให้เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักชิมและผู้ที่ชื่นชอบอาหารรสเลิศ ซึ่งนับเป็นการวางรากฐานให้กับมรดกทางอาหารของทางโรงแรมเอง และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการอาหารในโรงแรมหรู
ในปัจจุบันร้านอาหารมิชลินสตาร์ของที่นี่อย่าง Espadon ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในร้านอาหารที่ดีที่สุดในปารีส มีชื่อเสียงในด้านอาหารทะเลสดใหม่และอาหารฝรั่งเศสแบบดั้งเดิมที่ผสมผสานกับเทคนิคสมัยใหม่ รวมไปถึงบาร์ Hemingway ที่ได้รับการตั้งชื่อตาม Ernest Hemingway นักเขียนชื่อดังผู้เป็นแขกประจำของโรงแรม บาร์แห่งนี้มีชื่อเสียงในด้านค็อกเทลสูตรพิเศษและบรรยากาศที่เป็นกันเอง ซึ่งนับว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้แขกทุกคนได้รับประสบการณ์บนโต๊ะอาหารสุดพิเศษ และลิ้มรสชาติที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณอันน่าจดจำระหว่างการพักผ่อนนั่นเอง
THE HOTEL TODAY
ภายหลังโรงแรมปิดทำการเพื่อปรับปรุงครั้งใหญ่เป็นเวลา 4 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012-2016 ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของโรงแรมในปัจจุบันอย่างมาก และเป็นห้วงเวลาที่ประสบการณ์การเข้าพักได้ถูกยกระดับให้ทันสมัยยิ่งขึ้น ทั้งด้านระบบเทคโนโลยีต่างๆ และงานบริการที่ใส่ใจในรายละเอียด ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาเสน่ห์และความเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของโรงแรมไว้ เช่น สถาปัตยกรรมยุค Belle Époque เฟอร์นิเจอร์โบราณ และงานศิลปะ ซึ่งทำให้ในปัจจุบัน The Ritz Paris ยังคงถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในโรงแรมที่ดีที่สุดในโลกจากนิตยสารและเว็บไซต์ท่องเที่ยวหลายแห่งแม้เวลาจะล่วงเลยจากจุดเริ่มต้นมาเกินกว่าศตวรรษ และเป็นที่ดึงดูดใจบุคคลสำคัญและผู้เข้าพักจากทั่วโลกที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์การพักผ่อนที่ไม่เหมือนใคร ตลอดจนเป็นสถานที่ที่รวบรวมเรื่องราวทางวัฒนธรรมไว้ให้ผู้คนได้พบเห็นเช่นกัน