ปีนี้เป็นปีทองสำหรับแฟนกีฬาที่ชื่นชอบการดูภาพยนตร์สารคดีจริงๆ ครับ เพราะตลอดทั้งปีเรามีของดีให้ได้ดูกันอย่างต่อเนื่อง
จาก The Last Dance ที่สร้างความฮือฮาไปทั่วโลกเมื่อช่วงต้นปี (และช่วยประโลมหัวใจในช่วงล็อกดาวน์ได้เป็นอย่างดี) ยังมีสารคดีอีกมากมายหลายหลากแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น Anelka: Misunderstood ที่ว่าด้วยเรื่องชีวิตของนักฟุตบอลที่เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนมากที่สุดอย่าง นิโกลาส์ อเนลกา, Formula 1: Drive to Survive ที่เปิดเผยโลกการแข่งรถฟอร์มูล่าวันที่มีอะไรมากกว่าการขับรถให้เข้าเส้นชัยเยอะ หรือ Athlete A ที่เปิดโปงเรื่องอื้อฉาวของ แลร์รี นาสซาร์ หมอนรกที่กระทำการล่วงละเมิดทางเพศกับนักกีฬายิมนาสติกหญิงทีมชาติสหรัฐฯ
สารคดีเหล่านี้ทำให้เราได้เห็นมุมมองของเกมกีฬาได้กว้างขึ้นว่ามันไม่ได้มีแค่เรื่องราวของการแข่งขันในสนาม ไม่ใช่จบแค่แพ้หรือชนะ แต่ยังมีชีวิต ความคิด บทเรียนที่ซ่อนอยู่อีกมากมาย
โดยเฉพาะเรื่องการถอดบทเรียนที่เป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ก็มีสารคดีชุดใหม่ที่ถ่ายทอดบทเรียนของเหล่าสุดยอดโค้ชหรือผู้ฝึกสอนระดับโลกจำนวน 5 คน
The Playbook กฎชีวิตพิชิตทุกสนาม – คือชื่อสารคดีทาง Netflix นะครับ
ในบรรดาโค้ชทั้ง 5 คนที่ผมเชื่อว่าน่าจะได้รับความสนใจมากที่สุดย่อมหนีไม่พ้น โชเซ มูรินโญ โค้ชฟุตบอลอันดับต้นๆ ของโลก เจ้าของสมญา The Special One ที่เราน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีไม่ว่าจะชอบดูฟุตบอลหรือไม่ก็ตาม
ผมเองเคยไปนั่งถอดบทเรียนของโค้ชฟุตบอลอย่าง เจอร์เกน คล็อปป์ หรือ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ในรายการ The Secret Sauce กับ เคน นครินทร์ มาแล้ว (และรอว่าเคนอยากจะถอดบทเรียนของ มิเกล อาร์เตตา บ้างหรือเปล่า ฮ่าๆ) ซึ่งทั้งสองเป็นโค้ชที่เก่งกาจและเต็มไปด้วยแนวคิดที่น่าสนใจมากมาย
แต่เรียนจากใจจริงว่าหลังได้ชม The Playbook ตอนของมูรินโญจบแล้ว ผมรู้สึกว่าเรื่องราวและบทเรียนของเขามันแอบดูสนุกกว่า!
เวลา 30 นาทีในสารคดีตอนนี้แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่เราได้รับรู้เรื่องราวและมุมคิดที่น่าสนใจของมูรินโญ ซึ่งทำให้เราได้เห็นอีกด้านของตัวตนของเขาที่หลายคนอาจจะไม่เคยได้รู้เรื่องหรือเคยสัมผัสมาก่อน
ภาพในสนามเขาเคยเป็น ‘มูผู้โอหัง’ เป็นจอมอหังการที่ไม่ยอมใคร ขวานผ่าซาก ผ่าเหล่าผ่ากอ ปากไว พร้อมจะเป็นศัตรูกับทุกคน
แต่นอกสนามแล้วสารคดีเรื่องนี้เปลือยตัวตนของมูรินโญให้เราได้เห็นและเริ่มเข้าใจว่าทำไมในช่วงเวลาหนึ่งเขาจึงเป็นสุดยอดกุนซือที่ไม่ว่าสโมสรใดในโลกก็อยากได้ตัวเขาไปร่วมทีม
และสำคัญที่สุดคือทำไมเขาไปทำทีมไหนก็ประสบความสำเร็จไปเสียหมด!
ผมเองก็อยากจะเล่าสรุปให้ฟังเหมือนกัน แต่คิดว่าอยากให้มีโอกาสได้ดูกันเต็มๆ มากกว่า เลยอยากจะขอสรุปบทเรียนในสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในสารคดี แต่เป็นสิ่งที่กุนซือชาวโปรตุเกสคนนี้บอกให้เราฟังในระหว่างตอนให้อ่านกัน
แต่แน่นอนครับว่ามันก็อาจจะเป็นการ * สปอยล์ * ดังนั้น…
* คำเตือนหลังจากนี้อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาหรือใจความสำคัญบางส่วน หากเป็นไปได้แนะนำให้ชมก่อนอ่านนะครับ 🙂
1. ความรักชนะทุกสิ่ง
งานใหญ่ในชีวิตครั้งแรกของกุนซือที่เกิดในเมืองเซตูบัล เมืองเล็กๆ ใกล้ลิสบอนที่มีวิวทะเลแสนงดงาม ลูกชายของ เฟลิกซ์ มูรินโญ อดีตนักฟุตบอลและโค้ช คือการคุมทีมเบนฟิกา! แต่ทีมที่เขาประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมแรกกลับเป็นเอฟซี ปอร์โต สโมสรคู่แข่งตลอดกาล
ในช่วงที่มูรินโญเข้ารับตำแหน่งนั้น ปอร์โตอยู่ในสภาพย่ำแย่อย่างมาก ทีมขาดความเชื่อมั่นและมองไม่เห็นทางออก
แต่มูรินโญกลับมองเห็นทางออกอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ปอร์โตกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งคือ ‘ความรัก’
เขาเริ่มจากการทำให้นักฟุตบอลลงเล่นให้สโมสรด้วยความรัก โดยคัดเอาเฉพาะคนที่ ‘มีใจ’ จะลงสนาม พร้อมจะสู้เพื่อเขาและทีมโดยไม่จำเป็นจะต้องเด่นต้องดังมาก่อน
เมื่อได้ทีมที่เล่นด้วยหัวใจแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือแฟนบอลที่เคยหมดใจกับทีมก็ค่อยๆ กลับมาหลงรักทีมใหม่อีกครั้ง
2. ไม่ลืมรากเหง้า
เป็นธรรมดาสำหรับคนหนุ่มไฟแรงที่ชอบความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
แต่สิ่งที่มูรินโญทำในตอนคุมปอร์โตกลับสวนทางกัน เพราะเขาให้ความสำคัญกับเรื่อง ‘รากเหง้า’ ของสโมสรและแฟนบอลที่เป็นชาวเมือง
ปอร์โตเป็นสโมสรที่มีแฟนบอลเป็นกลุ่มชนชั้นแรงงาน (Working Class) แบบเดียวกับลิเวอร์พูลหรือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งสำหรับแฟนฟุตบอลเหล่านี้สโมสรคือตัวแทนความดีงามของพวกเขา ดังนั้นทุกสิ่งที่มูรินโญเน้นย้ำคือการทำให้แน่ใจได้ว่าสโมสรจะลงเล่นด้วยความรู้สึกเดียวกับแฟนๆ
ถ้าสโมสรเป็นของ Working Class ก็ต้องเล่นแบบ Working Class
เสื้อจะมาขาวสะอาดไม่ได้ แต่ต้องเล่นจนบิดเสื้อให้ไหลเป็นน้ำตก นั่นจึงจะสมกับรากเหง้าความเป็นมาของสโมสร
3. ไม่ถนัดอย่าฝืน
ก่อนจะมาเป็นโค้ช มูรินโญเองก็อยากเป็นนักฟุตบอลมาก่อนครับ
เพียงแต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเกิดมาเพื่อเป็นนักฟุตบอล มูรินโญก็เป็นหนึ่งในคนจำนวนมากที่ไปไม่ถึงฝัน
แต่แทนที่จะผิดหวัง เขากลับมองเห็นสิ่งดีๆ จากการที่เขาไม่ได้เป็นนักฟุตบอล เพราะมันทำให้เขารู้ตัวมาตั้งแต่แรกว่าเขาเก่งอะไร ถนัดอะไร และเขาก็เชื่อว่าเขาจะทำได้ดีมากๆ ด้วย
การไม่ได้เป็นนักฟุตบอลทำให้มูรินโญได้มุ่งมั่นกับเส้นทางการเป็นโค้ช และด้วยโชคชะตา ทำให้เขาได้มีโอกาสติดสอยห้อยตามโค้ชระดับโลกอย่าง บ็อบบี ร็อบสัน หรือ หลุยส์ ฟาน กัล ที่กลายเป็นครูของชีวิต
ก่อนจะได้รับโอกาสดีๆ ในชีวิต
4. อยากเป็นใหญ่ใจต้องนิ่ง (และใจเด็ด!)
นอกเหนือจากความรู้ที่สั่งสมมามากมายแล้ว หนึ่งในคุณสมบัติที่ทำให้มูรินโญกลายเป็นโค้ชระดับสุดยอดคือการตัดสินใจที่เด็ดขาด
เขารู้ว่าจังหวะไหนควรทำอะไร จังหวะไหนไม่ควรทำอะไร
เหมือนในเกมสำคัญที่พบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในรายการแชมเปียนส์ลีก ซึ่งเป็นเกม ‘แจ้งเกิด’ เขาอย่างเต็มตัวต่อโลกฟุตบอลชนิดที่จบเกมวันนั้นไม่มีใครที่ไม่รู้จัก โชเซ มูรินโญ (ที่เหมือนของแปลกในวงการ เพราะบ้าดีเดือด ระเบิดอารมณ์พลุ่งพล่าน และที่สำคัญโคตรโม้!)
เกมนั้นปอร์โตตกที่นั่งลำบาก เพราะโดนยูไนเต็ดยิงนำไปก่อน และทำให้ทีมของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้เปรียบจากกฎ Away Goal แต่แทนที่จะตัดสินใจแบบหุนหันพลันแล่น มูรินโญอดทนรอประเมินสถานการณ์ในเกมอย่างใจเย็น
จนเมื่อชัดเจนแล้วว่าถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ เขาสั่งให้ทีมเดินหน้าทันที และสุดท้ายเขาได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ
5. เพราะเราทุกคนคือมนุษย์
ถึงจะดูเป็นคนก้าวร้าว หัวแข็ง แต่จริงๆ มันเป็นแค่ภาพเปลือกนอก หรือเป็นสิ่งที่เขาอยาก ‘แสดง’ ให้ทุกคนเห็น
ตัวตนอีกด้านที่เหมือนจะเป็นตัวตนจริงๆ ของเขา มูรินโญเป็นคนที่จิตใจดี อ่อนโยน มีน้ำใจ เหมือนที่เราได้เห็นภาพเขาไปแจกอาหารบ้าง ไปช่วยงานการกุศลบ้างช่วงล็อกดาวน์ หรือล่าสุดไม่นานมานี้ที่ยอมให้ผู้สื่อข่าวชาวมาซิโดเนียถ่ายภาพคู่ด้วยตามคำขอร้องของคุณพ่อนักข่าวที่กำลังป่วยหนัก ทั้งๆ ที่จะไม่อนุญาตก็ได้
สำหรับมูรินโญ จะเก่งแค่ไหน จะห่วยแค่ไหน เขามองเห็นทุกคนเป็น ‘มนุษย์’
ทำงานกับเครื่องจักรเราป้อนคำสั่งได้ แต่ทำงานกับคนเราต้องเอาหัวใจไปเชื่อมกัน มันถึงจะสำเร็จ
6. ไม่มีใครสอนเราได้ดีเท่าเราเอง
ถึงจะผ่านการสอนจากโค้ชระดับตำนานมากมาย แต่มูรินโญยืนยันว่าเขาไม่ต้องการที่จะพูดถึงคนอื่นอีก
จะพูดถึงทำไมในเมื่อเขาเองก็เรียนรู้ผ่านชีวิตของตัวเอง
บาดแผล น้ำตา รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ช่วงเวลาที่ขึ้นสูง ช่วงเวลาที่ตกต่ำ สิ่งเหล่าสำหรับเขาคือ ‘ครู’ ที่ดีที่สุด ไม่ใช่การถอดบทเรียนจากคนอื่นแต่อย่างใด
7. ชีวิตเป็นของเรา
ในสารคดีมูรินโญพูดถึงเรื่อง ‘รถไฟไม่จอดเป็นครั้งที่ 2’ โดยสื่อถึงการตัดสินใจในการรับข้อเสนอจากเรอัล มาดริด ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งจะพาอินเตอร์ มิลานพิชิต 3 แชมป์ โดยได้แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นรายการปิดท้าย
เขาตัดสินใจเช่นนั้นเพราะมันเป็นความฝันของเขาในการพิชิตแชมป์ใน 3 ลีกใหญ่ของโลก (อังกฤษ, อิตาลี และสเปน) และมันเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในการที่จะเอาชนะบาร์เซโลนาของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ทีมที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดในโลก ณ เวลานั้น
จริงๆ แล้วการตัดสินใจครั้งนี้ไม่มีคำว่าผิดหรือถูกนะครับ
เพราะต่อให้วันนั้นมูรินโญเกิดเปลี่ยนใจที่จะอยู่กับอินเตอร์ต่อไปด้วยความผูกพันที่มีต่อสโมสรและลูกทีม ผมก็ไม่คิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่แย่หรือผิดพลาดอะไร
ชีวิตมันเป็นของเรา
เราเลือกได้เสมอครับ 🙂
และนี่คือสิ่งที่ผมถอดบทเรียนมาให้เพิ่มเติมจาก The Playbook ในตอนของ โชเซ มูรินโญ ที่ขอเน้นอีกทีว่าอยากให้มีโอกาสได้ลองนั่งชมกัน
30 นาทีสั้นๆ ที่จะทำให้หัวใจของเราได้เติมประกายไฟอีกเยอะ!
แล้วเอาไว้ถ้ามีโอกาสได้ชมตอนอื่นๆ แล้วอาจจะมาถอดบทความให้เพิ่มเติมครับ!
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า