ถ้าถามว่าภาพของ ‘คนเท่’ ในวันนี้คืออะไร หลายคนอาจไม่ได้นึกถึงภาพคนถือ MacBook นั่งในคาเฟ่ หรือเดินห้างใจกลางเมืองสักเท่าไร แต่เป็นภาพของคนที่แบกเป้ขึ้นดอย ดริปกาแฟกลางหมอกบางๆ หรือวิ่งเทรลบนเส้นทางวิบาก ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์คอยแจ้งเตือนทุก 3 นาที
ภาพเหล่านี้ไม่ได้เท่เพราะมันดูยาก แต่เพราะมันดู ‘สงบ’ ซึ่งความสงบกลายเป็นของหายากกว่าความสำเร็จเสียอีกในโลกยุคนี้
เราทำงานอยู่หน้าจอแทบทั้งวัน ไถฟีดไม่รู้จบ รับข้อมูลมากกว่าที่สมองจะประมวลไหวจนคำว่า Mental Burnout กลายเป็นสิ่งที่เกิดกับคนทำงานจำนวนมาก และนั่นคือชนวนที่จุดประกายให้คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยเริ่มเดินออกจากจอ แล้วหันหน้าเข้าหาธรรมชาติ จนเกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘The Outdoor Generation’
คนหนีเข้าป่า แค่เทรนด์หรือกำลังกลายเป็นชีวิตจริง?
การหนีเมืองเข้าป่าไม่ได้เกิดขึ้นเพราะคนอยากเท่อย่างเดียว แต่ความเหนื่อยล้าของโลกยุคใหม่สะสมและตกตะกอนอยู่ในใจคนเรื่อยๆ จนอยากหายจากภาระหน้าที่ตรงหน้าไปสักพัก
🌳 1. Post-COVID และ Digital Detox
หลังช่วงเวลาที่ผู้คนถูกขังอยู่กับหน้าจอและความไม่แน่นอนในยุคโรคระบาด หลายคนเริ่มรู้สึกว่า ‘การพักจริงๆ’ คือการได้หายไปจากโลกออนไลน์บ้าง
Hilton Trend Report 2025 ระบุว่า นักท่องเที่ยวกว่า 27% ตั้งใจลดการใช้โซเชียลมีเดียระหว่างวันหยุด และมองหาที่พักแบบ ‘Unplugged’ หรือ ‘Tech-Light’ เพื่อให้สมองได้พักจริง ไม่ใช่แค่เปลี่ยนโลเคชันทำงาน
🌳 2. Nature as Healing ทั้งเที่ยวทั้งเยียวยา
แนวคิด ‘Shinrin-yoku’ หรือการอาบป่าจากญี่ปุ่น ไม่ได้เป็นแค่ความเชื่ออีกต่อไป งานวิจัยยืนยันแล้วว่าการอยู่กับธรรมชาติช่วยลดฮอร์โมนความเครียด ปรับระบบประสาทเข้าสู่โหมดพักฟื้น และช่วยให้นอนหลับดีขึ้น สำหรับคนทำงาน นี่ไม่ใช่ความหรูหรา แต่คือการซ่อมร่างกายและใจ
🌳 3. Economic Escape ขอหนีชีวิตวุ่นวายไปอยู่แบบสบายใจ
ค่าครองชีพในเมืองสูงขึ้น การแข่งขันรุนแรงขึ้น ชีวิตเต็มไปด้วย KPI และความคาดหวัง การได้ออกไปอยู่กับป่า ภูเขา หรือทะเล สักไม่กี่วัน จึงกลายเป็น ‘บังเกอร์ทางใจ’ เพื่อรีชาร์จแล้วกลับมาสู้กับชีวิตต่อ
🌳4. Technology as an Enabler มีตัวช่วยให้เข้าป่าไม่ลำบาก
และอย่างสุดท้าย แม้จะอยากหนีจอ แต่เทคโนโลยีกลับเป็นตัวช่วยสำคัญ แอปนำทาง นาฬิกาอัจฉริยะ หรือกล้องคุณภาพสูงในมือถือ ทำให้การเข้าป่าง่ายและปลอดภัยขึ้น และในอีกด้าน ก็ช่วยให้ภาพประสบการณ์เหล่านี้ถูกแชร์ออกไป กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นอยากออกเดินทางตาม
ทั้งหมดนี้บอกเราว่า การเข้าป่าไม่ใช่แค่แฟชั่น แต่มันกำลังกลายเป็นไลฟ์สไตล์ที่ฝังอยู่ในชีวิตคนทำงานยุคดิจิทัล ตราบใดที่โลกยังหมุนเร็ว ‘ธรรมชาติ’ จะยังเป็นพื้นที่ชาร์จพลังที่ขาดไม่ได้
ตลาด Outdoor ใหญ่แค่ไหน และทำไมธุรกิจต้องมองให้ลึก
Business Research Insights ระบุว่า ตลาดอุปกรณ์ Outdoor ทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 6.17 แสนล้านดอลลาร์ และยังเติบโตต่อเนื่อง
ตลาดอย่าง Glamping และ Eco-Travel โตเฉลี่ยปีละ 10-11% ขณะที่ประเทศไทยเอง รายได้จากอุทยานแห่งชาติในช่วงปีที่ผ่านมา สูงกว่า 2,000 ล้านบาท สะท้อนว่า ‘ป่า’ ไม่ได้เป็นแค่ทรัพยากรธรรมชาติ แต่เป็นทรัพยากรทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่
จากป่าเขา สู่ Ecosystem ใหม่ของธุรกิจ
ความโหยหาธรรมชาติไม่ได้หยุดอยู่ที่ความรู้สึก แต่มันสร้างเศรษฐกิจขนาดใหญ่ขึ้นมาจริงๆ และสร้างเงินมหาศาลด้วย คำถามหลังจากนี้ไม่ใช่ว่าเราจะอนุรักษ์ป่าอย่างไร แต่คือเราจะ ‘ออกแบบคุณค่า’ จากป่าเขาให้กลายเป็นระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนได้อย่างไร โดยไม่ทำลายเสน่ห์ดั้งเดิมของมัน
เริ่มจากธุรกิจ Travel และ Hospitality ที่วันนี้ไม่ได้ขายแค่ที่พักอีกต่อไป ข้อมูลจาก Airbnb ระบุว่าการค้นหา Solo Travel เติบโตขึ้นเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ไม่ได้ไล่เช็กอินแลนด์มาร์กยอดฮิต แต่กำลังมองหาที่พักแบบ Off-grid กระท่อมลับๆ หรือโฮมสเตย์ที่มีเรื่องเล่าความเป็น Local ซึ่งหาไม่ได้จากเมืองหลัก ที่พักจึงกลายเป็นพื้นที่หลบโลก มากกว่าสถานที่นอนค้างคืน
ถัดมาคือฝั่ง Wellness และ Healing ธุรกิจสุขภาพที่กำลังขยับจากสปาในเมือง สู่ Wellness Retreat กลางป่า ที่ไม่ได้มีแค่การนวด แต่รวมกิจกรรมอย่าง Forest Bathing, Sound Therapy หรือ Ice Bath จากเดิมที่เคยขายวิวสวย วันนี้กำลังเปลี่ยนมาเป็นการขาย ‘ประสบการณ์เยียวยา’ ที่แตะทั้งกาย ใจ และระบบประสาทของผู้คนที่เหนื่อยล้าจากชีวิตเมือง
ในโลกของ Fashion และ Lifestyle เสื้อผ้า Outdoor ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเดินป่าอีกต่อไป แต่กลายเป็น Everyday Wear ที่ใส่ได้ทุกวัน ตลาด Outdoor Apparel ทั่วโลกถูกคาดการณ์ว่าจะขยายตัวแตะ 4.6 แสนล้านดอลลาร์ในอีก 10 ปีข้างหน้า เพราะผู้บริโภคมองหาเสื้อผ้าที่ฟังก์ชันสูง อยู่บนดอยก็ดี อยู่ในออฟฟิศก็เท่ สะท้อนว่าธรรมชาติกำลังแทรกซึมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันมากขึ้น
สุดท้ายคือพลังของ Content และ Community อินฟลูเอนเซอร์สายเดินป่าและคอมมูนิตี้คนรักธรรมชาติ ทำหน้าที่เป็นตัวขยายเสียงชั้นดี เปลี่ยนสถานที่ธรรมดาให้กลายเป็นกระแสไวรัล และช่วยโปรโมตที่พัก อาหาร รวมถึงธุรกิจท้องถิ่นให้เติบโตไปพร้อมกัน
จากทั้งหมดนี้ มุมมองที่คนต้องเปลี่ยนคือป่าเขาไม่ใช่แค่ทรัพยากรธรรมชาติ แต่คือแพลตฟอร์ม หากเรามองมันเป็น Ecosystem ที่เชื่อมธุรกิจ ประสบการณ์ และชุมชนเข้าด้วยกันได้อย่างสมดุล ป่าจะไม่ใช่พื้นที่ที่ต้องเลือกระหว่างการรักษาหรือการพัฒนา แต่จะกลายเป็นพื้นที่ที่ทั้งสองอย่างเดินไปด้วยกันได้


