เราได้มีโอกาสพูดคุยกับสาวเปรี้ยวอย่าง เคธี่ รื่นสำราญ หรือที่ใครๆ รู้จักเธอในนาม Katieismonster ผ่านโทรศัพท์ช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เธอบอกเล่าชีวิตที่ลอนดอนอย่างสนุกสนาน และเผยถึงแบรนด์ THE MEANING WELL ที่เธอสร้างสรรค์ขึ้นกับมืออย่างมุ่งมั่น
เคธี่ รื่นสำราญ หรือที่ใครๆ รู้จักเธอในนาม Katieismonster
THE MEANING WELL แบรนด์เล็กๆ ก่อตั้งในกรุงลอนดอน ที่เธออยากเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สามารถสวมใส่ได้ทุกวัน สำหรับเธอคำว่า Sustainable มันไม่ใช่สิ่งที่เธอเองเพิ่งสนใจ แต่เธอมองหาความหมายและได้บทสรุปกับตัวเองที่ว่า ทุกวันนี้การที่แบรนด์ผลิตสินค้าออกมามากเกินกว่าความต้องการของผู้บริโภคแล้ว ในที่สุดก็ต้องมาดันเพื่อให้สินค้าขายหมด ผลลัพธ์ก็ล้วนกลับมาที่ ‘สินค้าเซล’ แทบทั้งสิ้น ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เธออยากเห็นเลย
เธอจึงให้ความสำคัญกับ Sustainable เป็นอย่างมาก เพราะแบรนด์ THE MEANING WELL ของเธอจะต้องไม่ใช่วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่เสื้อผ้าที่เธอทำจะต้องสวย ไร้กาลเวลา คุณภาพดีด้วยการตัดเย็บ และสามารถสวมใส่ได้หลากหลายโอกาส เพราะเธอเชื่อว่าการ Dress Up มันเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ง่ายที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำให้ตัวเองรู้สึกดีมีความสุขได้ โดยเฉพาะในวันที่หม่นหมองของชีวิต
เพราะฉะนั้นความสุขของเธอคือการมองเห็นผู้คนสวมเสื้อผ้าสินค้าที่ไม่ต้องตามกระแสและใส่ได้ไม่มีเบื่อ ที่สำคัญเสื้อผ้าหนึ่งชิ้นนั้นก็เต็มไปด้วยเรื่องราวของผืนผ้าที่ถูกหลงลืมที่ได้กลับมามีชีวิตใหม่เพื่อเติมเต็มความสุขของผู้คนบนโลกนี้ โดยในแต่ละคอลเล็กชันของเธอล้วนสร้างสรรค์จากแรงบันดาลใจที่เธอพบเห็น ผสานไปกับความยั่งยืนและสอดคล้องกับการใช้ชีวิต โดยมีแนวคิดที่ว่า Less is more ที่ยังคงความเรียบหรู สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากความสิ้นเปลือง อีกทั้งไม่ตามกระแส ด้วยการเสาะแสวงหาผืนผ้าที่ถูกหลงลืม นำมาตีความใหม่ ด้วยการทำงานร่วมกับช่างฝีมือของอังกฤษ สร้างสรรค์ชิ้นงานที่จำนวนน้อยชิ้นแต่เต็มไปด้วยเรื่องราวและเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย และยังคงมุ่งหวังที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนเล็กๆ สู่การเป็นแบรนด์แฟชั่นที่ยั่งยืน ที่เน้นย้ำเรื่องความประณีต สวมใส่สบาย และไร้กาลเวลา ดั่งอุดมคติที่เธอบอกย้ำกับเราว่า The comfort of dressing well.
เกือบหนึ่งชั่วโมงที่เธอบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางของแบรนด์ THE MEANING WELL ที่ตอนนี้มีถึง 3 คอลเลกชันแล้ว โดยคอลเล็กชันที่ 3 นี้ เธอยังคงนำความงามของผืนผ้าเก่าที่ถูกลืมกลับมาสร้างสรรค์ใหม่ไปอย่าง เชิ้ตทรงโอเวอร์ไซส์ไร้กาลเวลา สม็อกเดรสยาว เสื้อคลุมทรงเคปด้วยเทคนิคพิเศษ ซึ่งล้วนเป็นซิลูเอตที่สมดุลกับสรีระของหญิงสาวทุกรูปร่าง โดยดีไซน์จากผ้าเก่าเก็บจากโรงงานในอังกฤษหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ผ้าฝ้ายด้วยเทคนิคเคลือบแว็กซ์ ผ้าบุนวม ผ้าแจ็คการ์ด ผ้ากำมะหยี่ ไปจนถึงผ้าไหมอยู่ทรง โดยใช้สีที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติอย่าง ฟ้าคราม บานเย็น เหลืองมัสตาร์ด เขียวนกเป็ดน้ำ ทับทิม น้ำตาลสนิม รวมไปถึง แดงราสป์เบอร์รี และเหลืองมะนาว หยอกล้อไปกับบทกวีในหนังสือ Tender Buttons ปี 1914 ของ เกอร์ทรูด สไตน์ นักกวีชาวอเมริกัน เล่าถึงความงามของช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความหมาย และพลังของความสัมพันธ์ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยความรักที่ยั่งยืน ซึ่งส่วนเป็นแรงบันดาลใจหลักของคอลเล็กชันที่ 3 นี้
คอลเล็กชันที่ 3 ออกแบบจากผ้าเก่าเก็บจากโรงงานในอังกฤษหลากหลายชนิด
ความเหงา ความสุข ความสันโดษ ความรักที่เรามีต่อคนรอบข้างไปจนความรักที่เรามีต่อ Fashion Industry เธอรู้สึกว่าแฟชั่นและแรงบันดาลใจมันควรจะมาได้จากทุกอย่างที่อยู่รอบตัว ไม่ใช่ไปจำกัดมันว่าจะอยู่แค่ ศิลปะ หนังสือ มิวเซียม หรือ ภาพยนตร์ แรงบันดาลใจมันควรมาจากความรู้สึกที่เรามีในแต่ละวัน หรือสิ่งละอันพันละน้อยที่เราพบเห็นในแต่ละวัน ตามรถไฟฟ้า รถใต้ดิน ท้องถนน อะไรที่ทำให้เรายิ้มหรือเศร้าได้ ซึ่งล้วนเกิดแรงบันดาลใจแทบทั้งสิ้น
ก่อนปิดท้ายบทสนทนา เธอเน้นย้ำกับเราว่าดีไซน์ของเธอไม่มีซีซัน สามารถหยิบมาใส่ตอนไหน หรือสวมใส่ในวาระใดก็ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ดั่งคำที่ว่า Making Less but Meaning More น่าจะเป็นคำจำกัดความที่ทำให้ THE MEANING WELL ของเธอแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ถึงขนาดยักษ์ใหญ่ในธุรกิจค้าปลีกออนไลน์อย่าง www.matchesfashion.com หรือแม้แต่ห้าง Liberty ในลอนดอนของอังกฤษ ก็มีเสื้อผ้าของเธอวางจำหน่าย และนี่คงเป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า “ถ้าเลือกจะทำให้สิ่งที่หลงใหลที่สุด ความสำเร็จที่วิเศษสุดก็จะตามมา”