×

ฮูพ-นาย BNK48 การผันเปลี่ยนสู่ New Gen และ ‘กำแพง’ ที่อยากร่วมกันสร้างให้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม

27.03.2023
  • LOADING...
ฮูพ-นาย BNK48

HIGHLIGHTS

  • ฮูพ-ปาฏลี ประเสริฐธีระชัย และ นาย-ภัทรนรินทร์ เหมือนฤทธิ์ คือสองสมาชิกวง BNK48 รวมถึงเป็นกัปตัน Team BIII และ Team NV ที่ได้รับโอกาสให้มาร่วมขับร้องเพลงรองของซิงเกิลหลักที่ 13 ในชื่อ เสียงของใบไม้ พร้อมทั้งได้มีส่วนร่วมในการแต่งเพลงตั้งแต่เริ่มต้น
  • ฮูพเล่าว่าการได้เป็นส่วนหนึ่งของ Team BIII ทำให้เธอค้นหาตัวเองเจอ ค้นพบว่าตัวเองชอบเต้นแนวไหน ชอบแสดงออกแบบไหน ซึ่งคนที่ทำให้เธอเห็นข้อดีของตัวเองคือพี่รุ่น 1 อย่าง ปัญ (ปัญ-ปัญสิกรณ์ ติยะกร)
  • นายเล่าว่าการได้เป็นส่วนหนึ่งของ Team NV คือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ทำให้ชื่อของเธอเริ่มเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น อีกทั้ง Team NV ยังเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เธอยังอยากที่จะทำงานในฐานะ BNK48 ต่อไป

สำหรับแฟนคลับของไอดอลกรุ๊ป BNK48 น่าจะพอทราบกันดีว่า ณ เวลานี้ BNK48 ได้ก้าวเข้าสู่ยุค New Gen เป็นที่เรียบร้อย หลังจากเมื่อปลายปี 2022 สมาชิกรุ่นที่ 1 หลายคนได้ประกาศจบการศึกษา (ลาออกจากวง) พร้อมกับการส่งไม้ต่อให้กับน้องๆ รุ่นใหม่ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักสำคัญของวงต่อไป และหนึ่งในนั้นคือ ฮูพ-ปาฏลี ประเสริฐธีระชัย (สมาชิกรุ่นที่ 3) และ นาย-ภัทรนรินทร์ เหมือนฤทธิ์ (สมาชิกรุ่นที่ 2) ที่ได้รับเลือกให้มารับตำแหน่งกัปตัน Team BIII และ Team NV คนใหม่ 

 

โดยล่าสุดฮูพและนายได้รับโอกาสให้มาร่วมขับร้องเพลงรองของซิงเกิลหลักที่ 13 ในชื่อ เสียงของใบไม้ เพลงออริจินัลที่พวกเธอมีส่วนร่วมในการแต่งเพลงตั้งแต่ต้น ด้วยความตั้งใจที่อยากจะมอบเพลงนี้ให้กับแฟนคลับและเพื่อนร่วมวงทุกคนที่คอยเป็นกำลังใจและร่วมกันผลักดัน BNK48 สู่ยุคใหม่ไปพร้อมกัน   

 

THE STANDARD POP ได้รับโอกาสมาร่วมพูดคุยกับฮูพและนาย เกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของเพลง เสียงของใบไม้ รวมถึงเบื้องหลังการทำงานในฐานะกัปตัน Team BIII และ Team NV คนใหม่ การผันเปลี่ยนสู่ New Gen และ ‘กำแพง’ ที่ทั้งคู่อยากร่วมกันสร้างให้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม 

 

 

ที่มาที่ไปของเพลง เสียงของใบไม้ เป็นอย่างไรบ้าง 

 

นาย: เพลงนี้เริ่มต้นจากเราทั้งสองคนได้เข้าไปพูดคุยกับคณะครูค่ะ ทางคุณครูก็ถามเราว่าเรามอง BNK48 ในอนาคตหรือในยุค New Gen ยังไงบ้าง มีเป้าหมายยังไงบ้าง เราก็บอกไปว่าเราอยากดึงความเป็น 48Group กลับมา เราอยากให้ทุกคนยังเดินไปพร้อมกับเราต่อ แม้ว่าพี่รุ่น 1 หลายคนจะจบการศึกษาไปแล้ว แต่เราก็ยังมีเมมเบอร์รุ่น 2 รุ่น 3 และรุ่น 4 ที่ยังเดินหน้าทำตามความฝันอยู่เช่นกัน แต่ตอนที่เราเข้าไปคุยกันครั้งแรก เรายังไม่รู้ว่าเราจะได้ร้องเพลงคู่กันค่ะ แค่ไปคุยเกี่ยวกับเป้าหมายในอนาคต ซึ่งเราสองคนก็มีความคิดที่ตรงกันเยอะมากๆ และช่วยกันระดมความคิดออกมาจนกลายมาเป็นเพลง เสียงของใบไม้ ค่ะ

 

ฮูพ: ส่วนเนื้อหาของเพลง เสียงของใบไม้ เราตีความให้ BNK48 เปรียบเสมือนต้นไม้ แล้วใบไม้คือเมมเบอร์ อย่างใบไม้ที่เริ่มร่วงหล่นไป ก็คือเมมเบอร์ที่จบการศึกษาไปแล้ว แต่เราก็ยังอยากให้ทุกคนเห็นว่าเรายังมีใบไม้ที่ยังเหลืออยู่ ใบไม้ที่มีความฝันว่าจะได้ผลิบานเป็นดอกไม้ที่สวยงาม ได้มีแสงเป็นของตัวเองในสักวันหนึ่งค่ะ 

 

นาย: ถ้าเปรียบเทียบเพลงนี้จะคล้ายๆ กับเพลง Sakura no Hanabiratachi ความทรงจำและคำอำลา ที่เล่าถึงซากุระที่ร่วงหล่นไปตามกาลเวลา เหมือนกับเราที่ถึงแม้ว่าฤดูกาลจะเปลี่ยนไป แต่ว่าใบไม้ใบใหม่ก็จะผลิบานขึ้นตามมา เปรียบเหมือนพวกเรา BNK48 New Gen ค่ะ

 

หมายความว่าทั้งสองคนมีส่วนร่วมกับการแต่งเพลงนี้ตั้งแต่ต้นเลย

 

ฮูพ: ใช่ค่ะ เรามาร่วมทำเพลงนี้ด้วยกันตั้งแต่ศูนย์เลยจริงๆ ทางทีม Platform ก็ให้การบ้านพวกเรามาว่าเราต้องไปหาจุดที่เราอยากให้เพลงนี้สื่อความหมายออกมายังไง ส่วนทางทีม Platform ก็จะมารับฟังความคิดของเราเพื่อที่จะเอาไปแต่งเพลง 

 

นาย: อย่างท่อนที่หนูชอบจะมีอยู่สองประโยคคือ “พรุ่งนี้จะเป็นวันของเรา” กับท่อนบริดจ์ที่เราร้องคู่กันคือ “เพราะรักคือการพึ่งพาซึ่งกันและกัน เธอคือแสงตะวัน เธอคือลมที่คอยพัดพลิ้วให้ใบไม้ไหว” ท่อนนี้เราเปรียบเทียบให้แฟนคลับเป็นเหมือนน้ำ สายลม แสงแดด ที่ทำให้เราเติบโตขึ้นมาถึงทุกวันนี้ แล้วต้นไม้มันไม่มีวันตายค่ะ ถ้าทุกคนยังอยู่ เราก็จะเจริญเติบโตต่อไปเรื่อยๆ

 

 

แผลในใจของหนูคือหนูเข้าวงมาโดยที่บางคนก็บอกว่าหนูไม่เหมาะสมกับการเป็นไอดอลด้วยซ้ำ แต่หนูก็ทำให้รอยแผลนั้นมันหายไปด้วยการที่หนูพิสูจน์ตัวเอง หนูพยายามทำแม้ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม และวันนี้เราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเราโตมาเป็นกัปตัน Team NV 

 

ถ้าให้เมมเบอร์เปรียบเสมือนต้นไม้ต้นหนึ่งที่ค่อยๆ เติบโตขึ้น ณ วันนี้ต้นไม้ที่ชื่อฮูพและนายเติบโตขึ้นจากเดิมอย่างไรบ้าง 

 

นาย: หนูน่าจะโตขึ้นเยอะมากๆ ค่ะ ถ้าให้เปรียบเทียบเป็นต้นไม้ที่ใช้ระยะเวลาในการเติบโตนานมากก็คือต้นลำไย หนูไม่ได้ Tie-in นะ (หัวเราะ) คือเรารู้สึกว่าต้นลำไยมันมีฤดูกาลของมัน มันใช้เวลานานมากๆ กว่าที่จะมีผลผลิตออกมา หนูก็เลยรู้สึกว่าหนูเปรียบตัวเองเป็นเหมือนต้นลำไย เพราะกว่าจะใช้เวลาเติบโตขึ้นมาได้มันต้องมีทั้งสภาพอากาศที่ดี การรดน้ำใส่ปุ๋ยที่ดี เหมือนกับที่เราค่อยๆ พัฒนาตัวเองขึ้นมาจนกลายมาเป็นลำไยค่ะ

 

ฮูพ: ส่วนหนูคิดว่าหนูน่าจะเป็นต้นไม้ที่ได้รับปุ๋ยเพื่อเร่งโตค่ะ เพราะในการเดบิวต์ของหนู 1 ปี หนูได้ทำอะไรเยอะมากๆ ด้วยความที่เราได้รับโอกาสทำงานในหลากหลายรูปแบบก็ต้องจัดการกับปัญหาตัวเองด้วย รวมถึงต้องเรียนไปด้วย ต้องแบ่งเวลาให้สัดส่วนเหมาะสมด้วย จากที่หนูเป็นลูกคนเล็กที่ครอบครัวตามใจ มีอะไรที่หนูไม่พอใจ หนูก็งอแงใส่พี่แล้วพี่ก็ตามใจแล้ว แต่พอเรามาอยู่ในนี้เรากลายเป็นพี่โตของรุ่น 3 ที่ต้องมาดูแลน้องแทน เหมือนเราได้มาเจอกับตัวเองในเวอร์ชันเก่า เราก็เลยรู้สึกว่ามันทำให้หนูเติบโตขึ้นจากวันแรกเยอะมากๆ แล้วก็ทำให้มีความรับผิดชอบขึ้นมากๆ ค่ะ

 

เมื่อต้นไม้ที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์มากมาย มันมักจะหลงเหลือรอยแผลไว้บนต้น ถ้ารอยแผลเหล่านั้นเปรียบเสมือนประสบการณ์ มีรอยแผลไหนที่ทั้งคู่คิดว่ามันสำคัญกับเราบ้าง 

 

นาย: หนูคงเรียกว่ามันเป็นแผลในใจมากกว่าค่ะ ซึ่งแม้ว่าเราจะพยายามทำให้มันหายไป แต่มันก็อาจจะไม่ได้ลบหายไปเลย มันยังเป็นแผลในใจที่ถ้าเราย้อนกลับไปเราก็ยังจำได้เสมอ แผลในใจของหนูคือหนูเข้าวงมาโดยที่บางคนก็บอกว่าหนูไม่เหมาะสมกับการเป็นไอดอลด้วยซ้ำ หนูดูไม่เหมาะเพราะด้วยคาแรกเตอร์ของวงและคาแรกเตอร์ของหนูเองก็ไม่ได้มีความคล้ายคลึงกับวงเลยด้วยซ้ำ 

 

แต่หนูก็ทำให้รอยแผลนั้นมันหายไปด้วยการที่หนูพิสูจน์ตัวเอง หนูพยายามทำแม้ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม หนูแค่มองคนกลุ่มนั้นเป็นแค่จุดดำที่อยู่ในผ้าขาว เพราะถ้าเราไม่สังเกต เราก็จะไม่เห็น ถ้าเราไม่ได้สนใจ จุดดำตรงนั้นมันก็จะไม่กระจายตัวออกมา หนูเลยเลือกที่จะไม่สนใจ มันเลยทำให้หนูรู้สึกว่าแผลในใจหนูมันฟื้นฟูตัวเองเร็ว แต่ถ้าให้ย้อนกลับไปหนูก็จะนึกถึงตลอดว่า คนที่เขาเคยว่าเรา วันนี้เราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเราโตมาเป็นกัปตัน Team NV 

 

ฮูพ: ของหนูรู้สึกว่ามันเป็นแผลในใจที่ยากจะอธิบายมากๆ ค่ะ เพราะหนูเข้าวงมาด้วยการที่โดนคนดูถูกมาตั้งแต่แรก มีเรื่องที่ทำให้คนภายนอกที่ยังไม่ได้รู้จักเราจริงๆ มาตัดสินว่าเราเป็นคนแบบไหน แล้วด้วยความที่ภาพลักษณ์หนูเป็นคนที่ไม่ยิ้มเท่าไร คนก็จะยิ่งตัดสินว่าทำไมดูหยิ่งจัง ทำไมทำหน้าดุจัง แล้วหนูเคยรู้สึกดาวน์มากๆ แล้วก็ข้ามจุดนั้นไม่ได้ กลายเป็นคนที่โทษตัวเองว่าจริงๆ เราไม่ได้เหมาะสมกับตรงนี้หรือเปล่า 

 

แต่พอมาวันหนึ่งที่เราพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าเราเหมาะสมกับตรงนี้นะ แล้วโอกาสที่เราได้รับมามันไม่ใช่เพราะว่าแค่คนอยากให้เฉยๆ แต่มันมาจากเราเองจริงๆ มันก็เลยทำให้หนูรู้สึกว่าทุกอย่างที่หนูทำ หนูได้พิสูจน์แล้วว่ามันมาจากตัวหนูจริงๆ แล้วตัวหนูเองไม่ได้มีอะไรที่ด้อยไปกว่าใคร ถ้าเกิดหนูไม่ดูถูกตัวเองก็จะไม่มีใครดูถูกหนูค่ะ 

 

พี่ปัญบอกหนูเสมอว่าเขาชอบเวลาที่หนูเป็นตัวของตัวเองเวลาเต้น จากนั้นหนูก็ไม่เคยกังวลเรื่องการขึ้นเวทีอีกเลย เพราะปกติหนูจะกังวลตลอดว่าเราจะต้องทำสีหน้ายังไงบนเวที แต่พี่ปัญเขาเห็นในจุดที่ดีของเรา แล้วเขามาบอกให้เรารู้ มันก็ยิ่งเป็นความประทับใจที่หนูมีต่อเขาค่ะ

 

ย้อนกลับไปก่อนที่จะได้มารับตำแหน่งกัปตัน มุมมองของทั้งคู่ที่มีต่อ Team BIII และ Team NV เป็นแบบไหน  

 

นาย: หนูรัก Team NV มากค่ะ หนูทุ่มเทและเต็มที่กับทุกๆ อย่างที่เกี่ยวกับ NV เลย จริงๆ ตอนแรกหนูก็ไม่คิดว่าตัวเองจะติด Team NV พอติดมาเราก็ดีใจเหมือนกัน แต่พอเราติดจำนวนคนในทีมก็เพิ่มมากขึ้น แล้วเราจะมีการคัดเลือก 16 คนตัวจริงเพื่อขึ้นแสดง ซึ่งจริงๆ แล้วหนูไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้นตั้งแต่แรก แต่พอมันมีการผลัดเปลี่ยนคน ความพยายามของหนูมันเลยทำให้หนูได้ขึ้นมาเป็นตัวจริงในวันแถลงข่าว เลยกลายเป็น นาย NV ที่ทุกคนรู้จัก หนูรู้สึกว่าถ้าหนูไม่ได้เป็นตัวจริงใน NV ณ ตอนนั้น หนูคิดว่าคงไม่มีคนรู้จักหนูเลยด้วยซ้ำ เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ครั้งหนึ่งเราจะมีโอกาสขึ้น ถ้าสมมติตัวจริงเขาไม่ว่างจริงๆ 

 

หนูต้องขอบคุณพี่หวาน (ตาหวาน-อิสราภา ธวัชภักดี อดีตกัปตัน Team NV) กับพี่เป้ (เป้-จิรดาภา อินทจักร อดีตรองกัปตัน Team NV) ที่เขาให้โอกาสเรา เห็นถึงความพยายามที่ให้เราได้ไปขึ้น มันก็เลยกลายเป็นว่าทุกคนได้เห็นนาย NV แล้ว NV ก็ให้อะไรหลายๆ อย่างกับหนูมากๆ รวมถึงความเป็นเพื่อนพี่น้อง เราคุยกันได้ทุกเรื่อง แชร์ความรู้สึกด้วยกันทุกๆ อย่าง เราอยู่ด้วยแล้วไม่เครียดเลย แล้ว NV ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หนูมีกำลังใจกับการอยากจะอยู่ BNK48 ต่อ แต่หนูไม่ได้คิดว่าอยากจะแกรดอยู่แล้วนะคะ แต่แค่รู้สึกว่าหนูคิดว่าคนคนหนึ่งจะอยู่ได้มันต้องมีแรงบันดาลใจหรือพลังใจบางอย่างเพื่อให้ตัวเองได้อยู่ต่อ ซึ่ง NV เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หนูอยากอยู่ต่อ และต่อให้หนูจะได้รับตำแหน่งนี้ไหมหนูก็ไม่ได้เสียใจเลย เพราะหนูก็ยังเต็มที่กับ NV อยู่เสมอ หนูก็ยังจะทำหน้าที่ของตัวเอง คอยช่วยเหลือให้ได้มากที่สุด แล้วก็อยากให้ NV เป็นที่รู้จักมากที่สุด ไม่ได้รู้จักแค่ในวงของแฟนคลับ แต่อยากให้รู้ว่า NV คือเธียเตอร์นะ มีเด็กๆ มาแสดง เพราะว่านิยามของหนู NV คือวาไรตี้บวกเพอร์ฟอร์แมนซ์ มันจะมีความสนุก ทุกคนเข้ามาแล้วรู้สึกว่าฉันอยากมาเอ็นจอย NV คือสิ่งหนึ่งที่หนูรักมากๆ แล้วก็อยากทำให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ 

 

โมเมนต์ไหนในการเป็นส่วนหนึ่งของ Team NV ที่เรารู้สึกประทับใจ โมเมนต์ที่ทำให้เรารู้สึกว่านี่แหละคือทีมที่เรารัก  

 

นาย: น่าจะเป็นช่วงตอนเต้นเพลง Team NV Oshi ค่ะ เพราะหนูจะพูดกับทุกคนเสมอว่าหนูอยากทำให้ทุกคนมีความสุข อยากให้ทุกคนยิ้มได้ ถ้าทุกคนมีความสุขหนูก็จะมีความสุข แล้วหนูรู้สึกทุกครั้งที่หนูได้ขึ้น Team NV Oshi หนูแฮปปี้มาก หนูรู้สึกว่าหนูทำให้ทุกคนขำได้ หนูว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนคนหนึ่งจะทำให้ใครหัวเราะได้ด้วยสิ่งที่เราทำ 

 

ฮูพ: มุมมองของหนูที่มีต่อ Team BIII หนูบอกได้เลยว่า BIII คือทีมที่ทำให้หนูหาตัวเองเจอ ทำให้ค้นพบว่าตัวเองชอบเต้นแนวไหน ตัวเองชอบการแสดงออกแบบไหน เพราะด้วยความที่เพลงใน Team BIII จะมีความหลากหลายมากๆ เท่ เซ็กซี่ น่ารัก หรือว่าเพลงขี้เล่นก็มี จริงๆ แล้วพอยต์หลักๆ ของรุ่น 3 คือต้องซัพเธียเตอร์จำนวน 1 ปีก่อนเดบิวต์ แล้ววันแรกที่ได้มาเห็นท่าเต้นของ Team BIII วันนั้นหนูตั้งเป้าหมายกับตัวเองเลยว่าหนูจะติด Team BIII ให้ได้ หนูตั้งใจฝึกมากๆ ตั้งแต่เข้ามา หนูเรียนเสร็จก็ฝึกจนถึงตี 5 แล้วก็ไปนอน แล้วก็ตื่นมาเรียนต่อ เพราะหนูก็รู้สึกว่าทีมนี้แหละที่มันเหมาะกับเรา 

 

จนวันที่เราติด Team BIII ซึ่งมันอาจจะค่อนข้างเร็ว แต่หนูรู้สึกว่าในระยะเวลานั้นหนูได้เรียนรู้อะไรเยอะมากๆ ค่ะ เพราะก่อนที่จะติดทีมหนูได้ซัพ Team BIII มาเยอะพอสมควร แต่มันคงไม่ได้ผูกพันเท่าของพี่นาย เพราะหนูก็เพิ่งเข้ามาได้ไม่นาน แต่ทุกครั้งที่หนูอยู่กับพี่ๆ Team BIII หนูรู้สึกว่าหนูกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ เพราะมีบางครั้งที่เรารู้สึกเกร็งบ้างเหมือนกัน แต่พี่ปัญ (ปัญ-ปัญสิกรณ์ ติยะกร อดีตกัปตัน Team BIII) ก็บอกหนูเสมอว่าเขาชอบที่หนูเป็นตัวของตัวเองเวลาเต้น เขาเคยเข้ามาบอกหนูว่าทำไมถึงไม่เต้นเพลง BIII แบบตอนที่สอบเต้นรวมกับรุ่น 3 หนูก็เลยบอกว่าหนูเกรงใจรุ่นพี่ หนูไม่กล้าเต้นเป็นตัวเองมาก แต่ก็มีพี่ปัญที่เดินเข้ามาแล้วบอกหนูว่าก็เป็นตัวของตัวเองให้เต็มที่สิ หลังจากวันนั้นหนูก็ค้นพบว่าจริงๆ แล้วหนูชอบเต้นแบบไหน แล้วหนูก็ไม่เคยกังวลเรื่องการขึ้นเวทีอีกเลย เพราะปกติหนูจะกังวลตลอดว่าเราจะต้องทำสีหน้ายังไงบนเวที แต่พี่ปัญเขาเห็นจุดที่ดีของเรา แล้วเขามาบอกให้เรารู้ มันก็ยิ่งเป็นความประทับใจที่หนูมีต่อเขาค่ะ หนูเลยรู้สึกว่าคำว่า ปัญ-เจนนิษฐ์ (เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ อดีตรองกัปตัน Team BIII) มันใหญ่มากๆ สำหรับหนู คนมองคำว่ากัปตัน Team BIII เป็นปัญ-เจนนิษฐ์แล้วมันเลยยิ่งใหญ่มากๆ หนูรู้สึกว่ามันเป็นความกดดันสำหรับหนูอยู่เหมือนกันว่าแล้วเราจะทำให้คำว่า ฮูพ มันมีค่ายังไง 

 

 

มาถึงวันงาน BNK48 & CGM48 Request Hour 2022 ฮูพและนายได้รับเลือกให้รับตำแหน่งกัปตัน Team BIII และ Team NV คนใหม่ วันนั้นรู้สึกอย่างไรบ้าง

 

นาย: ตื้นตันใจค่ะ เพราะก่อนวันงานวันหนึ่งเราไปฟาดเคราะห์ใหญ่มา คือหนูขับรถไปชนท้ายรถคนอื่น เขาไม่เจ็บแต่เราก็เจ็บนิดหน่อย ไม่ได้เป็นอะไรมาก ซึ่งวันนั้นหนูร้องไห้ถึงตี 3 แล้วก็ต้องตื่นมา Run Through ที่งาน Request Hour ต่อ วันนั้นรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ทรมานมาก แล้วหลังจากขึ้น Request Hour ก็มีการประกาศว่าหนูได้รับตำแหน่ง Team NV ก็รู้สึกดีใจมากจนร้องไห้ เพราะก่อนหน้าวันงานเราไปเจอสิ่งที่มันมีผลกระทบกับจิตใจมา พอเริ่มมีข่าวดีมันก็เลยร้องไห้ออกมา แล้วก็ดีใจที่เราจะได้รับช่วงต่อจากพี่เป้ พี่หวาน รู้สึกแฮปปี้แล้วก็ขอบคุณพี่ๆ ที่ให้หนูมารับช่วงต่อ 

 

ฮูพ: ถ้าวันที่ประกาศกัปตันทีมตอนนั้นหนูติดโควิดค่ะ หนูเลยไม่ได้ขึ้นแสดง ตอนนั้นก็เลยร้องไห้อยู่ที่บ้าน หนูเศร้ามากเพราะหนูรู้ว่ามันคือครั้งแรกและครั้งเดียวที่จะได้แสดงเพลง First Rabbit พร้อมกับเพื่อนๆ 18 คน แต่ว่ามันก็ไม่เกิดขึ้น  

 

หลังจากนั้นพี่เฌอ (เฌอปราง อารีย์กุล) ก็โทรมาในจังหวะนั้นพอดี แล้วบอกว่าเขาอยากให้หนูอยู่งานนี้มากๆ เพราะว่าจะมีประกาศทีม แล้วเขาก็พูดต่อว่าเขาขอบอกก่อนนะเพราะเขาอยากให้รู้ก่อน ก็คือหนูได้เป็นกัปตัน Team BIII ซึ่งตอนนั้น จากน้ำตาที่เศร้าก็เป็นน้ำตาที่ดีใจขึ้นมาทันที แล้วยิ่งรู้สาเหตุที่ได้มาเป็นแล้วก็ยิ่งรู้สึกดีใจและรู้สึกมีไฟมากขึ้น เพราะพี่ๆ เขาไฟต์มากๆ เพื่อให้หนูได้เป็นกัปตันทีมก็ดีใจมากๆ ที่เขาไว้ใจแล้วก็เชื่อใจในตัวหนูค่ะ จริงๆ หนูก็ไม่ค่อยได้คุยกับพี่ปัญ พี่เจนนิษฐ์เท่าไร ด้วยความที่เจเนอเรชันเราที่ห่างกันมากๆ แล้วตัวหนูเองก็ชอบพี่เขามากๆ อยู่แล้ว เราก็เลยยิ่งไม่กล้าคุย แต่ว่าเขาก็คอยส่งกำลังใจมาให้เสมอค่ะ เราสัมผัสได้อยู่ตลอดว่าเขาเป็นห่วงเรามาโดยตลอด แล้วก็เชื่อว่าเราจะทำได้ 

 

 

ปกติแล้วหน้าที่ของกัปตันทีมต้องทำอะไรบ้าง 

 

นาย: ของหนูตอนนี้ก็น่าจะเป็นจัดตารางซ้อมค่ะ เขียนบล็อกกิ้ง แล้วก็วางตำแหน่งว่าใครขึ้นตำแหน่งไหนยังไงบ้าง แล้วก็นัดซ้อมค่ะ หลักๆ ก็จะประมาณนี้ในช่วงของการเตรียมการที่จะมีเธียเตอร์ใหม่

 

ฮูพ: ของหนูก็จะคล้ายๆ กับพี่นายค่ะ แต่หนูก็จะมีพี่เฌอมอบหมายให้มาช่วยดูเมมเบอร์รุ่น 3 ด้วยค่ะ

 

มีเรื่องอะไรบ้างที่ทั้งคู่ต้องปรับตัวหรือต้องพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นเมื่อเข้ามารับตำแหน่งกัปตัน 

 

นาย: สำหรับหนูน่าจะเป็นเรื่องการสื่อสารค่ะ เพราะหนูเป็นคนพูดเร็ว ลิ้นพัน พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง เหมือนเราอยากจะพูดแบบนี้ แต่ดันไปพูดอีกอย่าง เลยสื่อสารไม่ตรงกัน ก็เลยรู้สึกว่าเราต้องมีสติในการพูดเยอะๆ อีกอย่างคือหนูรู้สึกว่าการเป็นผู้นำคนต้องมีความเป็นกลางสูงมากๆ เราต้องรับฟังทั้งปัญหาของคนที่หนึ่งและคนที่สอง แล้วกลับมาพิจารณาว่าอันไหนมันเป็นยังไง แล้วพอเรายิ่งผ่านมันมาเยอะ เราเริ่มโตขึ้น มีความคิดที่มีเหตุผลมากยิ่งขึ้น ก็เลยทำให้หนูรู้สึกว่าเราต้องพัฒนาตรงนี้ไปเรื่อยๆ  

 

ฮูพ: ของหนูเป็นช่วงแรกๆ ที่ยังมีเธียเตอร์อยู่ค่ะ ซึ่งตอนนั้นก็มีพี่ปัญคอยดูด้วย แต่เขาก็ยกงานร้อยเปอร์เซ็นต์ให้หนูลองทำเลย ตอนนั้นก็มีปัญหาหนักอยู่ เพราะหนูเองเป็นคนที่เวลาคิดมากหรือว่าเวลาเจอปัญหาอะไร หนูจะชอบแก้คนเดียว ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจคนอื่นนะคะ แต่หนูรู้สึกว่าหนูแก้ให้มันเสร็จจะได้เร็วและไม่มีปัญหาอะไรเพิ่ม แต่กลายเป็นว่าหนูก็เก็บมาเครียดคนเดียว กังวลอยู่คนเดียว เพราะเราต้องทำงานเยอะกว่าที่คิดไว้มาก มันไม่ใช่แค่เราวางตารางแบบนี้นะ แต่เราต้องประสานงานกับทีมงานด้วยว่าวันนี้เราใช้ใครบ้าง ใครร้องแทนใครบ้าง ใครขึ้นยูนิตนี้บ้าง อาทิตย์นี้ใครขึ้นยูนิตนี้ อาทิตย์หน้าใครขึ้นแทน เปลี่ยนตำแหน่งยังไง ไมค์เบอร์อะไร คืองานเบื้องหลังกัปตันต้องเป็นคนทำเกือบทั้งหมด อย่างเวลาจะจองรถตู้เราก็ต้องเป็นคนไปแจ้ง กลายเป็นว่าเราต้องทำอะไรเยอะมากๆ แล้วหนูก็ไม่เคยประสานงานมาก่อน ช่วงนั้นคือหนูจับโทรศัพท์ตลอดเวลา ซึ่งพอหนูได้ลองทำเองแล้วหนูนับถือพี่ๆ ที่เขาทำมาก่อนเลย ขนาดหนูทำแค่ประมาณ 4 สเตจยังรู้สึกว่ามันหนักหน่วงมากจริงๆ แต่เขาทำมาตลอด 2-3 ปีที่มี BIII และ NV เลย

 

นาย: แล้วแต่ละสัปดาห์คนก็ขึ้นไม่เหมือนกันด้วย ด้วยความที่หนูเรียนด้านอีเวนต์การจัดการมา ก็เลยพอเข้าใจว่าระบบเสียงหรืออะไรต่างๆ มันต้องมีการคุยกันตลอดเวลา สมมติถ้าไม่คุยมันก็จะผิดเพี้ยนไปหมดเลย มันจะมีกรณีที่เราไม่ได้บอกว่าใครสลับยูนิตกัน พอจังหวะที่คนจะต้องอยู่บนเวทีแต่มีคนลงไป เสียงไมค์ก็จะดัง แล้วคนที่ต้องลงแต่กลับยังอยู่บนเวที เสียงไมค์ก็จะดับ เพราะมันถูกฟิกซ์ไว้แล้วว่าไมค์เบอร์นี้ต้องอยู่ตรงนี้ตอนนี้ ซึ่งมันไม่ใช่แค่เราสื่อสารกับตัวทีมงาน แต่เราต้องสื่อสารกับน้องเมมเบอร์ด้วยกัน เราเลยจะต้องเป็นตัวกลางที่จะต้องคุยกับทั้งสองฝั่งเลย 

  

 

นอกจากฮูพและนาย Team BIII และ Team NV ยังมีตำแหน่งรองกัปตันด้วยคือ มิโอริ (มิโอริ โอคุโบะ) และ ป๊อปเป้อ (ป๊อปเป้อ-พิณญาดา จึงกาญจนา) การทำงานร่วมกับสองคนนี้เป็นอย่างไรบ้าง  

 

นาย: ก่อนหน้านี้หนูไม่ค่อยสนิทกับพี่ป๊อปเป้อเลยค่ะ ด้วยความที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้คุยกับรุ่น 3 ด้วย พอได้มาเป็นกัปตันและรองกัปตัน Team NV ด้วยกัน ก็รู้สึกว่าพี่เขาค่อนข้างใจเย็นมาก แล้วหนูเป็นคนใจร้อน เขาก็จะคอยเบรกหนูตลอด คอยแนะนำว่านายเอาอย่างนี้ไหม หนูจะเป็นคนที่คิดไปก่อน แล้วเขาก็จะช่วยหนูดูอีกที แล้วบางทีความคิดของเราก็ช่วยทำให้ทุกอย่างเป็นระบบระเบียบ แล้วก็สมูทขึ้น แต่ตอนแรกหนูจะกลัวพี่ป๊อปดุ เพราะไม่เคยคุยกัน แต่ว่าพอได้ทำงานด้วยกันจริงๆ เขาไม่ได้ดุขนาดนั้น แต่เขาจะมีบางมุมที่เป็นผู้ใหญ่มากๆ จนบางทีเราก็คิดว่าเราติดเล่นไปหรือเปล่านะ แต่ทำงานกับพี่ป๊อปแล้วแฮปปี้มากๆ ค่ะ 

 

ฮูพ: หนูเองตอนแรกก็ไม่ค่อยสนิทกับพี่มิโอริค่ะ พอช่วงที่ขึ้นสเตจ BIII ก็ได้คุยกันเยอะขึ้นมากๆ จากตอนแรกที่หนูรู้สึกว่าเขาเป็นคนพูดน้อยมากๆ หนูก็ยิ่งไม่กล้าเข้าหาเขา แต่ว่าพอได้คุยกันแล้วเขาเป็นคนที่พูดเก่งมากๆ แต่เขาแค่ไม่รู้ว่าจะพูดกับใคร พอเราได้เปิดใจคุยกัน มันก็ทำให้เรารู้สึกเอ็นดูเขามากยิ่งขึ้นค่ะ พี่มิโอริเป็นคนที่มีไอเดียดี เป็นคนเก่งมากๆ ซัพพอร์ตดีมากๆ เวลาหนูทำงานหนูก็จะส่งไปหาเขาตลอดว่า โอเคไหม ช่วยเช็กหน่อยได้ไหม ซึ่งเขาก็จะคอยช่วยรีเช็กให้เราตลอดเวลา หนูไม่ห่วงเขาเลยค่ะ เพราะท่าเต้นเขาก็เป็นคนจำได้ดีอยู่แล้ว เราต่างหากที่ต้องไปคอยขอความช่วยเหลือจากเขา แต่เขาก็น่ารักกับเราเสมอ คอยถามตลอดว่ามีอะไรให้เขาช่วยไหม อยากทำแบบนี้ไหม รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่คุยด้วยง่ายมากๆ ค่ะ แล้วก็ดีใจมากๆ ที่มีเขามาเป็นรองกัปตันทีมด้วยกัน 

 

นอกเหนือจากการทำงานกับรองกัปตัน และส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสเตจ ทั้งคู่มีวิธีการดูแลเมมเบอร์ในทีมอย่างไรบ้าง เพราะแต่ละทีมก็มีจำนวนเมมเบอร์ที่เยอะมาก รวมถึงอายุที่แตกต่างกันมาก 

 

นาย: ด้วยความที่ทุกคนใน NV จะมีความตลกแล้วก็เอ็นจอยอยู่แล้ว เวลาทำงานหรือว่าซ้อมอะไรต่างๆ เราเลยไม่ได้ซีเรียสหรือเครียดกัน แต่สิ่งหนึ่งที่หนูรู้สึกว่ามันอาจจะยังไม่ค่อยคลิกกันเท่าไรน่าจะเป็นเรื่องการที่เรายังใช้เวลาอยู่ด้วยกันไม่มากพอเหมือนที่รุ่น 1 อยู่กับรุ่น 2 ค่ะ แล้วตอนนี้ Team NV ก็มีรุ่น 2 กับรุ่น 3 แล้วก็มีรุ่น 1 อีกคนคือ น้องซัทจัง (ซัทจัง-สวิชญา ขจรรุ่งศิลป์) มันเหมือนเป็นเส้นกั้นระหว่างรุ่นกันเฉยๆ ที่บางคนอาจจะยังไม่สนิทกัน หนูก็เลยกำลังหา Outing เพื่อให้เมมเบอร์ในทีมได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น ให้น้องๆ ได้เข้าใจว่าเราเป็น Team NV นะ เรามีจุดประสงค์อะไรบ้าง แล้วหนูเองก็อยากจะเรียนรู้เกี่ยวกับน้องๆ มากกว่านี้ อยากจะเข้าใจความรู้สึกของน้องๆ แต่ละคนว่าเขามีความคิดยังไงบ้าง มีทัศนคติเกี่ยวกับ NV ยังไงบ้าง 

 

ฮูพ: ส่วนหนูคือถ้าเป็นรุ่น 3 เองจะเข้าใจอยู่แล้วว่าหนูเป็นคนที่เวลาเล่นหนูเล่นเต็มที่เลย แต่เวลาทำงานหนูจะจริงจังมากๆ แล้วเขาจะไม่เจอการเล่นของหนูอีกเลย ซึ่งหนูเองก็คุยกับพี่มิโอริว่าถ้าเกิดเป็นรุ่น 2 หรือว่ารุ่น 1 หนูกลัวว่าจะทำให้เขารู้สึกอึดอัด ก็จะให้พี่มิโอริคอยช่วยแทนค่ะ แต่ว่าส่วนมากเวลาทำงานด้วยกันก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเลย ทุกคนรับฟัง เหมือนทุกคนให้เกียรติเรามากๆ แล้วเราก็ดีใจมากๆ ที่เขารับฟังเรา แล้วทุกครั้งที่หนูเห็นว่าเขาไม่มั่นใจ หรือว่าไม่รู้ว่าจะทำยังไง หนูก็จะเข้าไปให้กำลังใจมากกว่า

 

ส่วนสิ่งที่อยากเพิ่มเติม ด้วยความที่ Team BIII พอร่วมงานกันแล้วเราไม่ได้รู้สึกห่างเหินกันขนาดนั้น อาจเพราะมีน้องเล็กๆ ที่คอยไปป่วนๆ รุ่นพี่ ทำให้บรรยากาศระหว่างนั้นมันดูเป็นกันเอง แต่ว่าสิ่งที่อยากเพิ่มในความเป็น BIII มาโดยตลอดก็คือ อยากให้บนสเตจมีความเอ็นเตอร์เทนมากกว่านี้ค่ะ ซึ่งพอได้ขึ้นสเตจจริงๆ มันก็เพิ่มขึ้นเยอะมากๆ รวมถึงเมมเบอร์ใน BIII จะเป็นสไตล์ที่ว่าฉันอยากเต้นๆ อาจเพราะเราไม่ได้มีโมเมนต์ที่ได้อยู่ด้วยกันเยอะก็เลยไม่ได้มีโมเมนต์มาเล่าบนเวทีให้แฟนคลับฟัง เหมือนที่พี่นายบอกว่าเราก็อยากมี Outing ทีม ซึ่งเราก็เสนอไปบ้างแล้วค่ะ ตอนแรกก็คุยกับตัวเองว่าเดี๋ยวถ้ามีวันไหนเราได้มาเจอกันก็จะชวนทีมไปกินข้าวด้วยกัน

 

หนูรู้สึกว่าอาจจะมีคนบางส่วนที่พยายามอยากให้เราเป็น T-Pop มากๆ ซึ่งความเป็นจริงแล้ว BNK48 มีความเป็น 48Group มากๆ ดังนั้นเมื่อตัวเราเองมีจุดเด่นอันนี้อยู่แล้ว เราไม่ต้องพยายามไปเป็นคนอื่นเลย เราแค่เป็นตัวของตัวเองที่ชัดเจนและแข็งแรงมากๆ ก็พอค่ะ 

 

ถ้าให้ทั้งคู่ลองนิยามความหมายของคำว่า BNK48 New Gen เช่น BNK48 New Gen คือ… ทั้งคู่จะนิยามคำนี้ว่าอะไร 

 

ฮูพ: สำหรับหนู BNK48 New Gen คือศักราชใหม่ของ BNK48 ค่ะ หนูรู้สึกว่า BNK48 New Gen ไม่ได้หมายถึงเด็กรุ่นใหม่ของ BNK48 อย่างเดียว แต่มันคือการเปิดศักราชใหม่ที่เราอยากดึงความเป็น 48Group กลับมา หนูรู้สึกว่าอาจจะมีคนบางส่วนที่พยายามอยากให้เราเป็น T-Pop มากๆ ซึ่งความเป็นจริงแล้ว BNK48 มีความเป็น 48Group มากๆ ดังนั้นเมื่อตัวเราเองมีจุดเด่นอันนี้อยู่แล้ว เราไม่ต้องพยายามไปเป็นคนอื่นเลย เราแค่เป็นตัวของตัวเองที่ชัดเจนและแข็งแรงมากๆ ก็พอ คนที่เขาชอบในสิ่งนี้เขาก็จะหันมาสนใจเรา แล้วเราก็เคยคุยกันว่าเราอยากให้ BNK48 New Gen เป็น BNK48 ที่มีความเป็น 48Group มากยิ่งขึ้น

 

นาย: ที่เราตั้งเป้าหมายเหมือนกัน เพราะมีช่วงหนึ่งที่เราห่างหายจากการเป็น 48Group ไปจริงๆ มันมีหลายๆ อย่างที่รู้สึกว่าเราเหมือนถูกพยายามให้เป็น T-Pop ทั้งๆ ที่เราชัดเจนมาตั้งแต่แรกว่าเราเป็น J-Pop ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าเราไม่มี T-Pop นะคะ T-Pop ของเราน่าจะเป็นโปรเจกต์ QRRA (หนึ่งในโปรเจกต์ย่อยภายใต้ค่าย Independent Records) อันนั้นเขาชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็น T-Pop แน่นอน แต่เรามักจะถูกเปรียบเทียบเสมอว่าทำไม BNK48 ไม่ทำเพลงแบบนี้ ซึ่งหนูรู้สึกว่ามีคนบางส่วนที่เขาไม่เข้าใจเราจริงๆ เขาจึงเอาเราไปเปรียบเทียบเสมอว่าเราเป็น T-Pop ซึ่งเขาเห็นเราแค่ภายนอก แต่เขาไม่เข้าใจว่าข้างในเราจริงๆ เป็นยังไง 

 

 

ย้อนกลับไปช่วงปลายปี 2022 ที่ฮูพเริ่มเข้ามาดูแลสเตจ BIII New Gen ฮูพเคยเล่าถึงคติในการทำงานเป็นกัปตันว่า “รุ่นพี่สร้างไว้ได้ดีแค่ไหน เราจะสร้างสิ่งใหม่ให้ดียิ่งกว่า เพราะเราไม่อยากให้ทุกคนลืมภาพ BIII ที่แข็งแกร่ง” ในมุมมองของทั้งคู่คิดว่าสิ่งที่รุ่นพี่สร้างไว้คืออะไร และสิ่งใหม่ที่เราอยากสร้างขึ้นมาคืออะไร

 

ฮูพ: หนูรู้สึกว่ารุ่นพี่สร้างกำแพงไว้ให้เราสูงมากๆ ค่ะ สมมติว่าเราอยู่ในป้อมปราการท่ามกลางสงคราม รุ่นพี่คือคนที่สร้างกำแพงเพื่อปกป้องเราจากภัยข้างนอกที่โจมตีเข้ามา จากโซเชียลหรือจากคนที่มาพูดถึงเรา ทำให้เรารู้สึกว่าเรากำลังอยู่ในเซฟโซน ถ้าพูดตรงๆ เลยก็คือพอเพลง คุกกี้เสี่ยงทาย ดัง วงอยู่มาได้เพราะเพลงนี้จริงๆ ค่ะ ซึ่งหนูรู้สึกว่าตอนนี้กำแพงที่รุ่นพี่เขาสร้างไว้มันเริ่มลดลงมาเรื่อยๆ เราจึงอยากจะสร้างกำแพงนั้นกลับขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยเพลงที่มีความเป็น J-Pop ที่เป็นตัวเรามากที่สุด ซึ่งช่วงนี้หนูก็ได้ลองหาเพลงแล้วก็คุยกับพี่เฌออยู่ตลอดว่าเพลงแบบนี้จะมีความเป็นไปได้ไหม 

 

เช่นเดียวกับ Team BIII ที่พอเป็น New Gen แล้ว ก็ยังมีบางคนที่ติดภาพของรุ่นพี่อยู่ มีครั้งหนึ่งหนูเคยเข้าไปเห็นว่ามีคนพูดถึงหนูประมาณว่าน้องฮูพกับอีกคนหนึ่งเต้นตำแหน่งแทนพี่รุ่น 1 คนนี้แล้วก็ไม่เห็นทำได้ดีเท่าพี่เขาเลย ซึ่งเราก็รู้สึกว่าเราไม่มีทางเป็นเหมือนเขาได้อยู่แล้ว เขาทำไว้ดีของเขา แต่เราก็จะทำให้ดียิ่งขึ้นในแบบของเรา 

 

ส่วนสิ่งใหม่ที่หนูอยากสร้างคือความมั่นใจของเมมเบอร์ในวงค่ะ เพราะจริงๆ ไม่ใช่แค่คนข้างนอกที่รู้สึกท้อค่ะ ทุกคนในวงเองก็ท้อเหมือนกัน เพราะการโดนคำจากโซเชียลมันทำให้เรารู้สึกว่าเราไปต่อไม่ได้แล้วหรือเปล่า ซึ่งจริงๆ เพลง เสียงของใบไม้ เองก็เป็นเพลงที่เราสองคนอยากให้เมมเบอร์ฟังแล้วรู้สึกว่า ใช่ เป้าหมายของเราคืออยากมาร้องอยากมาเต้น เรามีความฝันของเรา วันแรกที่เราก้าวเข้ามาเป็น BNK48 เรามีความฝันแบบนี้ แล้วเราไม่อยากได้ฝันนั้นแล้วเหรอ เราเลยรู้สึกว่าเราอยากให้ทุกคนกลับมามีแรงฮึดสู้อีกครั้งค่ะ เชื่อว่าพลังของทุกคนถ้ามันรวมกันแล้ว เราจะทำได้แน่นอน 

 

ถ้าเราสองคนไม่มั่นใจในตัวเอง เราก็จะสื่อสารผ่านน้องๆ หรือว่าเมมเบอร์ทุกคนในวงไม่ได้ ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องมีตอนนี้คือความมั่นใจและเชื่อมั่นว่าวงเราจะสามารถไปต่อได้ โดยที่เราจะลบทุกคำสบประมาทออกไป

 

นาย: สำหรับหนู จริงๆ แล้วรุ่น 3 น่าจะคล้ายๆ กับรุ่น 2 เพราะรุ่น 2 ก็ถูกเปรียบเทียบเหมือนกัน เพราะรุ่น 2 มาในยุคที่ BNK48 บูมแล้ว มันเลยมีกำแพงเยอะมากๆ ด้วยความที่เราเข้ามาได้ประมาณ 2-3 เดือนเราก็ต้องเดบิวต์แล้ว เดบิวต์ไม่เท่าไร เราก็ต้องมาซัพเธียเตอร์สเตจ PARTY ga Hajimaru yo ด้วย เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมทุกอย่าง มันเลยทำให้เราถูกเปรียบเทียบเยอะมาก

 

หนูจำคำพูดหนึ่งที่พี่มินมิน (มินมิน-รชยา ทัพพ์คุณานนต์) พูดไว้ตอนงาน General Election ว่ามันมีกำแพงรุ่นที่ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้ แต่สำหรับหนู หนูรู้สึกว่าเราข้ามมันไปได้นะ เพราะเราออดิชันเข้ามาตอนที่มีคนสมัครประมาณหมื่นกว่าคน แล้วเรามาเหลือกันทุกวันนี้ 14 คน หนูว่าเราเก่งมากๆ เลยนะ แล้วเราผ่านอะไรกันมาเยอะมาก จนถึงวันนี้ที่เราใกล้จะหมดสัญญาแล้ว หนูเลยรู้สึกว่าเราไม่ได้พังกำแพงนั้นทิ้งไปนะ แต่เรากำลังสร้างกำแพงใหม่ขึ้นมาเพื่อทำให้มันเทียบเท่าหรือแข็งแรงมากกว่าเดิม ไม่ได้อยากทำเพื่อทับที่กำแพงเดิม แต่มันคือสิ่งใหม่ที่เราสร้างขึ้นมาให้มันสมบูรณ์แบบมากกว่าเดิม 

 

ส่วนสิ่งใหม่ที่หนูอยากจะเพิ่มก็น่าจะคล้ายๆ กับฮูพเลยคือ ถ้าเราสองคนไม่มั่นใจในตัวเอง เราก็จะสื่อสารผ่านน้องๆ ทุกคนหรือว่าเมมเบอร์ทุกคนในวงไม่ได้ มันจะไม่มีความมั่นใจเลย ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องมีตอนนี้คือความั่นใจและเชื่อมั่นว่าวงเราจะสามารถไปต่อได้ โดยที่เราจะลบทุกคำสบประมาทออกไป

 

 

สลับมาที่นายบ้าง ช่วงแรกๆ ที่นายเริ่มเข้ามาดูแลสเตจ NV New Gen นายเคยเล่าว่า “นายนึกภาพวันที่สเตจ NV ไม่มีพี่รุ่น 1 ไม่ออก กระทั่งได้แสดงสเตจ NV New Gen วันแรก ก็ทำให้รู้สึกว่าภาพรวมออกมาดีกว่าที่คิด” ภาพที่นายเห็น ณ วันนั้นเป็นภาพแบบไหน     

 

นาย: ต้องพูดตรงๆ ว่าหนูรู้สึกตั้งแต่วันที่ได้รับมอบหมายงานแล้วค่ะ หนูเคยบอกกับพี่หวาน พี่เป้ว่าหนูมองไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าไม่มีพี่รุ่น 1 แล้ว NV จะเป็นยังไง เพราะสำหรับหนูก่อนหน้านั้นที่ยังมีสเตจ NV อยู่ทุกวัน มันก็เป็นความสมบูรณ์แบบแล้ว มันคือความสุข ความสนุกสนาน ความเฮฮา ซึ่ง ณ ตอนนั้นที่หนูพูดไปอาจเป็นเพราะตัวหนูเองที่รู้สึกคนเดียวหรือเปล่าไม่แน่ใจ หรืออาจเป็นเพราะว่าเราไม่ค่อยได้คุยกับน้องรุ่น 3 เราก็เลยไม่รู้ว่าน้องเขาจะเชื่อฟังเราหรือว่าทำตามที่เราบอกหรือเปล่า เพราะปกติแล้วหนูจะเป็นคนที่ทำงานแต่ไม่ค่อยชอบสั่งใคร เราเลยรู้สึกว่าน้องๆ จะเข้าใจที่เราอยากจะสื่อสารออกไปหรือเปล่า กลายเป็นว่าเรากลัวจะทำงานกับน้องได้ยาก เพราะเราไม่เคยทำงานด้วยกันเลย 

 

แต่ก่อนหน้านี้เมมเบอร์รุ่น 1 รุ่น 2 รุ่น 3 ก็ได้ขึ้นเธียเตอร์ผสมกันประปรายบ้าง แต่ว่าพอมาในยุคที่ไม่มีพี่รุ่น 1 ขึ้นเลย มันก็เลยทำให้หนูกังวลว่าเราจะเข้ากันได้ไหม เพราะบางคอนเทนต์ที่เราคุยกันในช่วง MC แล้วมีรุ่น 2 กับรุ่น 3 ยืนอยู่ด้วยกัน ก็จะมีบางเรื่องที่รุ่น 3 ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก็จะคุยกันแค่ฝั่งรุ่น 3 ส่วนรุ่น 2 ที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก็จะคุยกันแค่ฝั่งรุ่น 2 กลายเป็นว่าเราไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันเท่าไร หนูก็เลยคิดว่า หรือว่าเรามีเส้นกั้นกันหรือเปล่า 

 

จนวันที่ได้ขึ้นแสดงสเตจ NV New Gen วันแรกจริงๆ เราก็รู้สึกว่ามันดีกว่าที่คิดจริงๆ หน้างานไม่มีอะไรติดขัดเลย ทุกคนให้ความร่วมมือ ทุกคนแสดงเพอร์ฟอร์แมนซ์ออกมาดี ทุกอย่างไหลลื่น แล้วก็ได้รับคำชมจากโซเชียลเยอะมากๆ รวมถึงพี่ๆ ที่ไปดูก็พูดเหมือนกันว่ามันดีกว่าที่คิดจริงๆ 

 

ภาพ ณ วันนั้นทำให้นายเห็นภาพอนาคตของ Team NV New Gen ชัดเจนมากขึ้นหรือรู้สึกมั่นใจมากขึ้นไหม

 

นาย: มั่นใจค่ะ จริงๆ ก็มั่นใจมาตลอด แม้ว่าพี่รุ่น 1 จะออกไปแล้วก็ยังเชื่อว่าน้องรุ่น 2 รุ่น 3 ก็ยังเข้ากันได้ แล้วก็จะสามารถรักษาความเป็น NV ต่อไปได้เรื่อยๆ แต่ช่วงนี้อาจจะไม่มีพลังใจหรือหมดไฟนิดหน่อยเพราะเราก็ยังไม่รู้ว่าเธียเตอร์จะกลับมาในช่วงไหน แล้วก็อีกอย่างหนึ่งคือตั้งแต่ไม่มีเธียเตอร์ เราก็ไม่ค่อยมีเวลาร่วมกันเท่าไร แต่ว่าเร็วๆ นี้ก็อาจจะมีการซ้อมกันแล้วค่ะ 

 

 

ฮูพมีเหตุการณ์คล้ายๆ กันไหม เมื่อเราได้เริ่มแสดงสเตจ BIII New Gen ครั้งแรก แล้วทำให้เราเห็นภาพอนาคตของ BIII New Gen ชัดเจนมากขึ้นหรือทำให้รู้สึกมั่นใจมากขึ้น

 

ฮูพ: ของ BIII ก็มีช่วงที่ต้องขึ้นเป็น New Gen ทั้งหมดเหมือนกันค่ะ ซึ่งตอนนั้นพี่ปัญก็ยังอยู่ แล้วมีครั้งหนึ่งที่หนูลงมาข้างล่างสเตจเพื่อดูเพื่อนๆ ซ้อมเต้นบนสเตจ แล้วพี่ปัญก็พูดกับเมมเบอร์ว่าพอเป็น New Gen แล้วดูเด็กเลยเนอะ ซึ่งตอนแรกหนูก็รู้สึกประหม่าเหมือนกันว่าเราจะทำให้ Team BIII แข็งแรงได้ไม่เท่ามาตรฐานที่พี่ๆ เขาทำไว้ แต่หนูก็ได้คุยกับเพื่อนๆ ว่าตอนขึ้นก็ใส่ให้สุดเลยนะ เป็นตัวเองเลย อยากเต้นแบบไหนเต้นเลย ใส่ให้สุดเลย ซึ่งภาพวันนั้นที่หนูเห็นเพื่อนๆ เต้นออกมาคือตัวแม่มากค่ะ หายห่วงเลย รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ห่วงกับ Team นี้เลยค่ะ ถ้าเขาเป็นตัวของตัวเอง แล้วเขาทำมันเต็มที่จริงๆ พวกเขาก็สามารถทำออกมาได้ดีมากๆ 

 

ในฐานะกัปตันทีม มีเรื่องอะไรที่อยากบอกกับเมมเบอร์ BIII และ NV New Gen ที่กำลังก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่ไปพร้อมกับเราบ้าง

 

นาย: อยากจะบอกว่าสู้ๆ ค่ะ เพราะเราต้องทำงานกันตรงนี้อีกยาว รวมถึงหนูเองก็ใกล้จะหมดสัญญาช่วงเมษายนปีหน้าแล้ว ก็คิดว่าจะทำให้ดีที่สุด จะทำให้ทุกอย่างมีระบบระเบียบแล้วก็ละเอียดมากยิ่งขึ้นจากที่พี่หวานทำไว้ จะพยายามรับฟังทุกความเห็นของน้องๆ ทุกคน ถ้ารู้สึกหรือว่าคิดอะไร ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็อยากให้พูดตรงๆ ไม่อยากให้มีเรื่องบาดหมางใจต่อกัน หรือใดๆ ก็ตามในอนาคตข้างหน้า แต่ก็รู้สึกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็มีความสุขค่ะ ดีใจที่มีน้องๆ NV ทุกคนอยู่ใน Team แล้วก็อยากให้น้องๆ พูดน้อยลง (หัวเราะ) เพราะน้องๆ พูดเก่งมาก แล้วก็อยากให้รักกันเยอะๆ 

 

ฮูพ: หนูก็อยากให้ทุกคนเป็นตัวเองอย่างเต็มที่ค่ะ ทำทุกๆ วันให้มีความสุขมากที่สุด แล้วก็ทุกครั้งที่มีปัญหาอะไร หรือว่าเครียดตรงไหนก็ทักมาหาหนูได้เสมอ เพราะถึงหนูจะไม่ได้ไปออกตัวพูด แต่ว่าหนูก็จะคอยดูและคอยอยู่ข้างๆ เสมอค่ะ บางเรื่องหนูอาจจะไม่เข้าใจ แต่หนูก็จะพยายามนั่งอยู่ข้างๆ แทนค่ะ 

 

 

สลับมาที่ฮูพและนายบ้าง ในฐานะกัปตันทีมด้วยกัน ฮูพและนายอยากจะกล่าวอะไรถึงกันและกันบ้าง 

 

นาย: ถ้าในมุมมองของหนูที่มีต่อฮูพ หนูรู้สึกว่าน้องเป็นคนที่เก่งมากๆ น้องมีหลายๆ ด้านที่พี่รู้สึกว่าพี่อยากมีแต่พี่ก็ยังไม่ค่อยมีเท่าไร อาจเป็นเพราะว่าต้องพัฒนาตัวเองต่อไป รู้สึกว่าน้องเป็นคนเก่ง เป็นคนดุดัน เป็นคนจริงจัง แล้วก็รู้สึกดีใจมากๆ ที่มีโอกาสทำงานกับน้อง จากวันที่เราประชุมกันแล้วรู้ว่าเราจะได้ร้องเพลงรองคู่กัน เราก็ได้เห็นมายด์เซ็ตหรือว่าความคิดหลายๆ อย่างของเราสองคนที่ตรงกันมากๆ พี่อาจจะไม่ได้เข้าใจระบบของ BIII มากขนาดนั้น แต่ถ้าสมมติว่ามีอะไรที่อยากปรึกษาก็สามารถทักมาถามได้เลย อาจจะช่วยออกความคิดเห็นได้ แล้วก็อยากให้น้องฮูพเป็นต้นไม้ที่เติบโตแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ 

 

แล้วก็พี่เห็นหนูพูดขึ้นมาเรื่องที่หนูไม่ยิ้ม พี่รู้สึกว่าหนูต้องยิ้มนะ เพราะถ้าหนูยิ้มโลกหนูจะสดใส มันเป็นมุมที่ไม่ค่อยเห็นฮูพยิ้มเท่าไร ยิ่งน้องบอกว่าน้องไม่มั่นใจในรอยยิ้มของตัวเอง หนูรู้สึกว่าไม่นะ มันน่ารัก อยากให้น้องยิ้มเยอะๆ แล้วก็ไม่ว่าจะผ่านเรื่องอะไรมาหรืออะไรก็ตาม อยากบอกว่าทีมกัปตันก็ยังคอยซัพพอร์ตน้องฮูพเสมอ แล้วก็ดีใจมากๆ ที่ได้ทำงานกับน้องฮูพค่ะ

 

ฮูพ: หนูอยากขอเสริมที่พี่นายพูดถึงการช่วยเหลือกัน หนูก็อยากให้ Team BIII และ Team NV New Gen เป็นสองทีมที่ไม่ได้มาสู้กัน แต่เป็นสองทีมที่คอยช่วยเหลือกัน ถ้ามีอะไรก็คอยแลกเปลี่ยนความคิดกันได้ตลอดเหมือนกันค่ะ

 

ส่วนพี่นาย หนูเคารพในตัวพี่นายมากจริงๆ ค่ะ ถึงแม้ว่าภายนอกที่เห็นตามโซเชียลเขาจะเป็นคนที่ตลกเฮฮา แต่พอหนูได้มาประชุมกัปตันด้วยกันเอง แล้วนั่งคุยถึงแผนงานว่า BNK48 จะเป็นยังไง หนูเคารพเขามากและนับถือเขามากจริงๆ เขาทำให้หนูมีอินสไปเรชันมากๆ เขาเป็นคนที่ตั้งใจทำงานและมีความคิดที่ดีมากๆ ค่ะ แล้วพี่นายก็เป็นคนที่ดึงเรื่องกฎต่างๆ เบสิกเก่าๆ ที่มันหายไปกลับมา ซึ่งเป็นอะไรที่หนูเองก็จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยังใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แล้วหนูก็รู้สึกภูมิใจกับพี่นายมาก บอกเลยว่าพี่ตาหวานกับพี่เป้เลือกถูกคนมากๆ เขาคือสมบัติของ BNK48 จริงๆ ค่ะ ทุกครั้งที่เวลาเห็นเขาทำงาน แล้วก็พอวันหนึ่งที่เขาได้รับโอกาสเยอะขึ้นเราก็ยิ่งภูมิใจ รู้สึกดีใจกับเขามากๆ แล้วก็รู้สึกว่าเขาสมควรที่จะได้รับมันมากจริงๆ ค่ะ 

 

รับชม First Performance เพลง เสียงของใบไม้ ได้ที่:

 

FYI
  • BNK48 จะมีการแบ่งสมาชิกในวงออกเป็นทีม เพื่อทำการแสดงในโรงละครหรือเธียเตอร์ ประกอบด้วย Team BIII และ Team NV ซึ่งมีคอนเซปต์และรูปแบบการแสดงที่แตกต่างกันไปตามสเตจที่ใช้ รวมถึงเซ็ตลิสต์ทั้งหมดจะเป็นเพลงที่ใช้สำหรับการแสดงในเธียเตอร์โดยเฉพาะ 
  • ปัจจุบันสเตจของ Team BIII มีชื่อว่า BNK48 Team BIII 2nd Stage ‘Saishuu Bell ga Naru’ ขณะที่สเตจ Team NV มีชื่อว่า BNK48 Team NV 1st Stage ‘Theater no Megami’ 
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X