คริสตาลินา กิออร์กิเอวา กรรมการผู้จัดการ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กลับสรุปปิดงานประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลก (The IMF-World Bank Annual Meetings 2025) ซึ่งเป็นงานรวมตัวรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางทั่วโลกครั้งใหญ่ประจำปี
โดยกิออร์กิเอวา เตือนว่า ความไม่แน่นอนในโลกยังคงสูงอยู่และยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยี ภูมิรัฐศาสตร์ สภาพภูมิอากาศ หรือการค้า การเปลี่ยนแปลงมักจะสร้างความกังวลใจ ระบบการค้าโลกที่มอบสิ่งดี ๆ มากมายให้กับผู้คนจำนวนมากมายกำลังถูกทำให้สั่นคลอนถึงราก ด้วยเหตุผลหลายประการ รวมถึงสนามแข่งขันที่ไม่เท่าเทียมกันอย่างแท้จริง และผู้คนที่ถูกทอดทิ้งไม่ได้รับความช่วยเหลือที่เพียงพอในการปรับตัวเพื่องานใหม่ที่ดีกว่าเดิม
นอกจากนี้ ยังมีอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นในปีนี้ และมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร ตั้งแต่เรื่องการที่ต้องขอใบอนุญาตเพื่อการนำเข้า จนถึงการควบคุมการส่งออกและค่าธรรมเนียมท่าเรือ ไปจนถึงทั้งนโยบายอุตสาหกรรมที่ไม่เป็นไปตามกลไกตลาด และการบิดเบือนอัตราแลกเปลี่ยน
เศรษฐกิจโลกยังทรงตัว แม้เผชิญความไม่แน่นอน
ท่ามกลางความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่ในปีนี้ แต่ กรรมการผู้จัดการ IMF ยังเตือนว่า เศรษฐกิจโลกก็ยังคงทรงตัวอยู่ ณ เวลานี้พอประมาณ ซึ่งขัดกับการคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญหลายคนก่อนหน้านี้
โดย IMF คาดการณ์ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงจาก 3.3% เมื่อปีที่แล้วเป็น 3.2% ในปี 2025 และ 3.1% ในปี 2069 ซึ่งถือว่าช้ากว่าที่ต้องการ และต่ำกว่าที่เราคาดการณ์ไว้หนึ่งปีที่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ชะลอตัวลงอย่างรุนแรงอะไรนัก
เหตุผลหนึ่งที่เห็นความทนทานในครั้งนี้คือความสามารถในการปรับตัวของภาคเอกชน ดังจะเห็นได้จากการดำเนินการสั่งซื้อนำเข้าล่วงหน้าก่อนการขึ้นภาษี การสร้างสต็อกสินค้า และการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทาน
ผลกำไรที่แข็งแกร่งตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ผู้ส่งออกและผู้นำเข้าสามารถบีบส่วนต่างของอัตรากำไรให้ต่ำลง ซึ่งช่วยบรรเทาผลกระทบด้านราคาต่อผู้บริโภคจากภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นได้ อย่างน้อยถึงบัดนี้
อีกเหตุผลหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นดาบสองคมก็คือ การลงทุนของภาคเอกชนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะในสหรัฐฯ กำลังเฟื่องฟู สถานการณ์นี้กำลังสนับสนุนอุปสงค์ของสหรัฐฯ และการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก และส่งมอบภาวะการเงินที่เอื้อต่อการลงทุนอย่างยิ่งให้กับทุกฝ่าย
AI ช่วยดัน GDP ได้ แต่ต้องระวังความเสี่ยงฟองสบู่
ศักยภาพของ AI อาจสร้างความคาดหวังที่ดี แต่เราควรระวังความเสี่ยงที่มาจากความชะล่าใจ นับตั้งแต่ระบบทางรถไฟไปจนถึงอินเทอร์เน็ต
โดย กิออร์กิเอวาเตือนว่า ประวัติศาสตร์การตอบสนองของตลาดการเงินต่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ก้าวล้ำล้วนเป็นเรื่องราวของการประเมินค่าสูงเกินไปและการปรับฐานของตลาด เช่น เหตุการณ์ยุคดอทคอมและผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ดังนั้น โลกเราควรชาญฉลาดในการบริหารความเสี่ยงดังกล่าว
ผ่านมีการกำกับดูแลภาคการเงินที่เข้มแข็ง ตระหนักถึงการรับความเสี่ยงที่มากเกินไป และความเชื่อมโยงระหว่างธนาคารที่เพิ่มขึ้น องค์กรที่ไม่ใช่ธนาคาร และสกุลเงินดิจิทัล จำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินที่รอบคอบ
คำแนะนำนี้และคำแนะนำอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกันเน้นย้ำการเฝ้าระวังระดับพหุภาคีของเรา โดยที่รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (WEO) รายงานเสถียรภาพการเงินโลก (GFSR) และรายงานการสังเกตการณ์สถานะทางการคลัง (Fiscal Monitor) ที่เราได้เผยแพร่แล้วในสัปดาห์นี้ ล้วนให้ความกระจ่างและพร้อมเสนอแนะแนวทางให้ประเทศสมาชิกการก้าวไปข้างหน้า
กิจกรรมการเฝ้าระวังระดับทวิภาคีของเรา ซึ่งดำเนินการผ่านการให้คำปรึกษาเป็นประจำกับประเทศสมาชิกทั้งหมดของเรา ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ประเทศตลาดเกิดใหม่ และประเทศที่มีรายได้น้อย เช่นเดียวกับโครงการประเมินภาคการเงินของเรา ได้กลั่นกรองคำปรึกษาระดับพหุภาคีของเราให้กลายเป็นคำแนะนำด้านนโยบายที่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับแต่ละประเทศ
ในการประชุมครั้งแล้วครั้งเล่าในสัปดาห์นี้ ดิฉันได้แนะนำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางให้ไม่เพียงแต่บรรเทาความเสี่ยงระยะใกล้เท่านั้น แต่ยังต้องมองไปไกลกว่านั้นเช่นกัน โดยรักษาสถาบันที่เป็นอิสระ มีความรับผิดชอบ และเกิดประสิทธิผล และค้นหา นำมา และส่งมอบโอกาสที่การเปลี่ยนแปลงนำมาให้ได้เสมอ
กิออร์กิเอวากล่าวต่อว่า ปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการเร่งการเติบโตทางผลิตภาพทั่วโลกคือ AI เราคาดการณ์ว่าประโยชน์จาก AI จะเพิ่มความสามารถในการผลิตทั่วโลก 0.1–0.8% ต่อปี
อย่างไรก็ตาม AI จะพรากงานในปัจจุบันหลายล้านตำแหน่ง ซึ่งผู้กำหนดนโยบายจำเป็นต้องช่วยผู้คนให้รับมือกับช่วงการเปลี่ยนผ่านนี้ได้ง่ายขึ้น วิชาชีพเก่าบางอย่างจะค่อย ๆ หายไป ส่วนงานใหม่ ๆ จะเกิดขึ้น เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลขนาดใหญ่ วิศวกรเทคโนโลยีทางการเงิน หรือ FinTech เราควรพึงระลึกว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งผิดปกติ ครั้งหนึ่งรถยนต์เข้ามาแทนที่ม้าและรถม้า
กุญแจสำคัญในการได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเพิ่มขึ้นของผลิตภาพและการจัดการกับผลกระทบจาก AI คือ การเตรียมความพร้อม
การวิจัยของเราพบว่า สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา และเดนมาร์กเป็นผู้นำ ขณะที่อีกหลายประเทศตามหลัง ดังนั้น เพื่อเป็นช่องทางถ่ายทอดแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดระดับโลก เราจะพยายามช่วยเหลือประเทศสมาชิกทุกราย โดยมุ่งเน้นไปที่การจัดการกับผลกระทบระดับมหภาค
IMF แนะเป้าหมายระยะกลาง 3 ประการ
- ประการแรก การฟื้นฟูฐานะการเงินของรัฐบาล การดำเนินการนี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้สามารถรับมือกับแรงกระแทกใหม่ ๆ และตอบสนองความจำเป็นเร่งด่วนได้โดยไม่ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนสูงขึ้น กระทรวงการคลังไม่ควรรอให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจดีขึ้นเป็นตัวช่วย ในทางตรงกันข้าม การรัดเข็มขัดทางการคลังสามารถปลดปล่อยเงินทุนที่จะสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่นำโดยภาคเอกชน
- ประการที่สอง การปรับสมดุลทั้งภายในและภายนอกประเทศ การดำเนินการนี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรับประกันว่าความไม่สมดุลของเศรษฐกิจมหภาคที่มากเกินควรจะไม่นำไปสู่ความเสียหาย เราจำเป็นต้องดำเนินการรัดเข็มขัดทางการคลังในบางแห่ง และดำเนินนโยบายเพื่อยกระดับอุปสงค์ภายในประเทศในอีกบางแห่ง
- และประการที่สาม การยกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจ การดำเนินการนี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้เศรษฐกิจสามารถสร้างงานมากขึ้น สร้างรายได้สาธารณะมากขึ้น และมีความยั่งยืนเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะและหนี้ภาคเอกชน
ธนาคารโลกเตือน โลกเผชิญกับการแบ่งแยกประชากรครั้งใหญ่
อาเจย์ บังกา ประธานธนาคารโลก เตือนว่า โลกกำลังเผชิญหน้ากับการแบ่งแยกประชากรครั้งใหญ่ (A Great Demographic Divide) โดยจะมีกลุ่มประเทศที่ต้องรับมือกับปัญหาประชากรที่ลดลงและสูงอายุ ขณะที่อีกกลุ่ม รวมไปถึง ประเทศในแอฟริกาและบางส่วนของตะวันออกกลางและเอเชียกำลังเผชิญกับการเติบโตของประชากรเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับแรงงานรุ่นเยาว์
ธนาคารโลกได้ให้ความสำคัญกับ ‘การสร้างงาน’ เป็นภารกิจหลักขององค์กร เพื่อรองรับแรงงานใหม่กว่า 1.2 พันล้านคนทั่วโลกในอีก 10–15 ปีข้างหน้า โดยธนาคารโลกดำเนินงานผ่าน 3 แนวทาง ได้แก่
- การร่วมมือกับภาครัฐพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและทักษะแรงงาน
- การระดมทุนและลดความเสี่ยงให้ภาคเอกชน
- การใช้ฐานความรู้ของธนาคารโลกสนับสนุนการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ
ไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพการประชุมปี 2026
โดยในงานนี้ วรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง พร้อมทั้งผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากสำนักงานเศรษฐกิจการคลังและสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ได้เข้าร่วมการประชุมต่าง ๆ กับผู้บริหารระดับสูงของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) รวมถึงได้หารือทวิภาคีกับผู้แทนจากภาคเอกชน สภาหอการค้าสหรัฐอเมริกา และสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ในห้วงการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ประจำปี 2025 ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 14 – 17 ตุลาคม 2025
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้หารือทวิภาคีกับ Kristalina Georgieva กรรมการจัดการ IMF และ Carlos Felipe Jaramillo รองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกถึงความพร้อมของประเทศไทยในการจัดการประชุมระดับโลกดังกล่าว โดยฝ่ายไทยได้ยืนยันถึงการดำเนินการอย่างต่อเนื่องตามแผนงานที่ได้วางไว้
นอกจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ให้การต้อนรับผู้บริหารจากทั้งสององค์กร ณ บูธประชาสัมพันธ์การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและ IMF ปี 2026 ของประเทศไทย ซึ่งการเป็นเจ้าภาพของประเทศไทยในปีหน้าจะเป็นเวทีสำคัญในการแสดงศักยภาพของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเงิน และการพัฒนาที่ยั่งยืนของภูมิภาคต่อไป
คลังชูแผน ‘การเงินสมัยใหม่-คลาวด์’ ดึงยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ ลงทุน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้เข้าร่วมการประชุมกับสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา – อาเซียน (US – ASEAN Business Council: USABC) และหอการค้าสหรัฐอเมริกา (US Chamber of Commerce) ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทชั้นนำของสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองในประเด็นนโยบายของประเทศไทยเพื่อสนับสนุนการลงทุนของบริษัทต่างชาติ การดำเนินธุรกิจในประเทศไทย การบริการทางการเงิน และโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวถึงนโยบายในการสนับสนุนการลงทุนและประกอบธุรกิจ และนโยบายในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและระบบการเงินสมัยใหม่ โดยเน้นการสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่เข้มแข็ง โปร่งใส และทั่วถึง เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจและนวัตกรรมทางการเงิน พร้อมสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีคลาวด์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของภาครัฐและเอกชน รวมถึงการส่งเสริมการเชื่อมโยงข้อมูลทางเศรษฐกิจอย่างปลอดภัย
นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังยังได้เข้าร่วมการหารือทวิภาคีกับผู้แทนจาก บริษัท PayPal ซึ่งเป็นบริษัทบริการทางการเงินระดับโลก และ บริษัท BlackRock บริษัทจัดการลงทุนชั้นนำของโลก เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนระหว่างประเทศ นโยบายด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน และการส่งเสริมระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่ปลอดภัย โปร่งใส และทั่วถึง เพื่อรองรับเศรษฐกิจยุคใหม่
คลังถก 3 สถาบันจัดอันดับโลก ยืนยัน ‘วินัยการคลัง’ เข้มแข็ง-หนี้สาธารณะยั่งยืน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้หารือกับบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ได้แก่ Moody’s Fitch และ S&P เกี่ยวกับการประมาณการเศรษฐกิจมหภาคของไทย แผนการดำเนินนโยบายการคลังอย่างมีวินัย และแนวทางการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว
โดยในการหารือดังกล่าว ฝ่ายไทยได้แสดงถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินนโยบาย Fiscal Consolidation หรือการบริหารฐานะการคลังให้มีความยั่งยืน ผ่านการรักษาสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นกับการบริหารรายได้และรายจ่ายของภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว รวมถึงการรักษาระดับหนี้สาธารณะให้อยู่ในกรอบความยั่งยืน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในด้านเสถียรภาพทางการเงินและหนี้สาธารณะ ประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารและชำระหนี้ในระดับสูง โดยเฉพาะในส่วนของหนี้เงินตราต่างประเทศซึ่งอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ในภูมิภาค โดยหนี้ต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นของภาคเอกชนที่มีรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศ จึงไม่มีความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบการเงินของประเทศ
นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้ย้ำว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคในทุกมิติทั้งด้านการคลัง การเงิน และอัตราแลกเปลี่ยน ควบคู่กับการส่งเสริมความโปร่งใสทางการคลัง และการดำเนินนโยบายเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึงในระยะยาว
IMF แนะอาเซียนเร่งเชื่อมโยง ‘ตลาดทุน-การค้า’ ภายในภูมิภาค
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและการรับมือกับมาตรการกีดกันทางการค้ากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประเทศสมาชิกอื่นและผู้แทนจากธนาคารโลกและ IMF
โดย IMF ได้แนะนำให้ประเทศในอาเซียนส่งเสริมความเชื่อมโยงของตลาดทุนและการค้าภายในภูมิภาคให้มากขึ้น พร้อมทั้งเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนจากมาตรการกีดกันทางการค้า
นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้เน้นย้ำว่า ประเทศไทยให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อบทบาทของกลไกความร่วมมือทางการเงินระดับภูมิภาค เช่น Chiang Mai Initiative Multilateralisation (CMIM) โดยสนับสนุนให้ CMIM เป็นเครื่องมือที่สร้างระบบคุ้มกันทางการเงินที่เข้มแข็งและยืดหยุ่นต่อความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังได้หารือทวิภาคีกับนาง Brigitte Haas นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังราชรัฐลิกเตนสไตน์ ในประเด็นความร่วมมือภายในกองทุนการเงินระหว่างประเทศ การเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างประเทศไทยและราชรัฐลิกเตนสไตน์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงการเปิดเจรจาจัดทำความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน (Double Taxation Agreement: DTA) กับประเทศไทย
รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการสร้างงาน โดยเฉพาะเยาวชน
โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวในการประชุมร่วมของผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศของกลุ่มออกเสียงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Joint Governors’ Meeting of the IMF-WBG South East Asia Voting Group: SEA Group) ว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการสร้างงาน โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน โดยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนการพัฒนาสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้อต่อการลงทุนและการจ้างงาน ควบคู่กับการยกระดับทักษะแรงงาน (Upskill) เพื่อรองรับเศรษฐกิจยุคปัญญาประดิษฐ์ รวมถึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมแร่ธาตุ การสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ และการเติบโตอย่างยั่งยืน
ธปท.แบ่งปัน 3 มุมมอง รับมือภัยการเงิน
ดร.ปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เข้าร่วมเสวนาในหัวข้อ The Macroeconomic and Financial Stability Implications of Financial Crime and Fraud ในการประชุมประจำปี IMF-WBG Annual Meetings 2025 ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา
ดร.ปิติ กล่าวถึงภัยการเงินในภูมิภาคเอเชียที่มีความรุนแรงมาก สร้างมูลค่าความเสียหายสูงถึงเกือบ 700 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณร้อยละ 66 ของมูลค่าความเสียหายทั่วโลก โดยเป็นผลจากระบบการโอนเงินที่มีประสิทธิภาพ การใช้ social media อย่างแพร่หลาย รวมทั้งความนิยมของสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภัยเหล่านี้นอกจากจะสร้างความเสียหายให้กับประชาชนแล้ว ยังลดทอนประสิทธิภาพของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทำให้ต้องใช้ทรัพยากรในการป้องกันและแก้ไข รวมทั้งยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชน จนอาจมีผลต่อเสถียรภาพของระบบการเงินโดยรวม
นอกจากนี้ ดร.ปิติ ได้แชร์มุมมองต่อการรับมือกับความท้าทายนี้ ใน 3 ด้าน คือ (1) การใช้เทคโนโลยีเพื่อป้องกันและตรวจจับการฉ้อโกง (2) การกำหนดความรับผิดชอบร่วม (shared responsibility) ของผู้เกี่ยวข้องที่ครอบคลุมตั้งแต่ผู้ให้บริการโทรคมนาคม แพลตฟอร์ม social media รวมทั้งธนาคาร และแพลตฟอร์มคริปโต และ (3) การแชร์ข้อมูลเพื่อใช้ในการป้องกันความเสียหายตั้งแต่ต้นทาง โดยเน้นว่าความเชื่อมั่นเป็นหัวใจของระบบการเงิน ซึ่งต้องรักษาไว้ท่ามกลางความเสี่ยงจากภัยทางการเงินที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว