หมายเหตุ: บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของซีรีส์ The Idol
กลายเป็นซีรีส์ที่ถูกพูดถึงในโลกออนไลน์อยู่เสมอ ตั้งแต่ช่วง Pre-production เตรียมประกาศผุดโปรเจกต์นี้ ยันปิดอีพีสุดท้ายของเรื่อง สำหรับ The Idol (2023) ผลงานจากผู้กำกับ Sam Levinson บุคคลรังสรรค์โลกสีหม่นแสนงดงามใน Euphoria (2019) ทั้งสองฤดูกาลให้กับ HBO จนกลายเป็นปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่ไปทั่วอเมริกา ซึ่งในครั้งนี้เขาจับมือกับ The Weeknd และ Reza Fahim เนรมิตโลกของไอดอลสุดครึกโครมขึ้นมา กระทั่งฟีดแบ็กของผู้รับชมทั่วโลกค่อนข้างเอนเอียงไปในทางลบ จึงทำให้ถูกลดทอนการออกอากาศเหลือเพียง 5 ตอนในท้ายที่สุด
The Idol ว่าด้วยเรื่องราวของ Jocelyn (รับบทโดย Lily-Rose Depp) ศิลปินสาวผู้โด่งดังระดับโลกที่ติดแหง็กอยู่กับหลุมพรางแห่งความเจ็บป่วยทางจิตใจ หลังเธอสูญเสียแม่ไปเพราะโรคมะเร็ง และด้วยบาดแผลอันเหวอะหวะนี้ ส่งผลให้การทำงานทั้งหมดของ Jocelyn ในวงการมายาต้องถูกสั่นคลอน จนเธอเริ่มมีสภาพเหลวแหลกขึ้นมากทุกที
กระทั่ง Jocelyn มีโอกาสได้พบกับ Tedros (รับบทโดย Abel Makkonen Tesfaye / The Weeknd) ณ ไนต์คลับแห่งหนึ่ง ความสัมพันธ์แสนหวือหวาของทั้งคู่ก็ได้เริ่มต้นขึ้น ทั้งสองเปรียบเสมือนแม่เหล็กต่างขั้วที่ดึงดูดกันและกัน Tedros กลายเป็นแรงผลักดันบางอย่างที่ส่งผลต่อ Jocelyn ทั่วทุกอณู การพัวพันกันระหว่างพวกเขาทำให้เกิดเรื่องราวแยบยลตามมา
เมื่อทราบถึงรายละเอียดเกี่ยวกับพล็อตเรื่องของ The Idol แล้ว หลายคนอาจมองว่าซีรีส์เรื่องนี้เต็มไปด้วยความน่าสนใจ ทั้งเรื่องของวงการบันเทิง ภาวะทางจิตเวช รวมถึงความสัมพันธ์หลังม่านของกลุ่มคนโด่งดัง เช่นเดียวกับผู้เขียนที่รู้สึกอย่างนั้นหลังทราบถึงทิศทางของซีรีส์เรื่องนี้ บวกกับมีรายชื่ออย่าง Sam Levinson ผู้กำกับที่เป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลัก จึงทำให้เรารู้สึกคาดหวังเป็นพิเศษว่า The Idol จะเฉิดฉายได้เทียบเท่ากับ Euphoria ที่เคยมัดใจใครหลายคนไว้ได้ ก่อนจะพบกับความผิดหวังเมื่อได้รับชมจนถึงเอพิโสดสุดท้าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในบริบทของ ‘การมองผู้หญิงเป็นวัตถุทางเพศ’ เหมือนกับสื่ออื่นๆ ที่พากันวิจารณ์ว่า The Idol ค่อนข้างล้มเหลวในการเล่าเรื่องมุมดังกล่าว ผู้เขียนเองก็เล็งเห็นถึงปัญหานี้อย่างจริงจัง ตัวละคร Jocelyn กลายเป็นเบี้ยล่างของ Tedros และมุ่งเน้นไปยังเรื่องเซ็กซ์แบบพิสดารอย่างไม่หยุดหย่อน จนทั้งสองได้สร้างโหมดชวนกระอักกระอ่วนตามมา ผนวกกับโครงสร้างของท้องเรื่องที่ไม่ได้แข็งแรงตั้งแต่แรกเริ่ม เหตุนี้จึงทำให้ทุกอย่างย่อยยับลงในทันที
ซึ่งระหว่างการถ่ายทำ The Idol ภายในกองถ่ายก็ยังมีประเด็นร้อนฉ่าเกิดขึ้นท่ามกลางการทำงาน นับตั้งแต่ Amy Seimetz ผู้กำกับคนเดิมที่ถอนตัวไปขณะที่กองถ่ายดำเนินการไปแล้วถึง 80% รวมถึงข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับการแทรกแซงและรื้อบทไปมาของ Sam Levinson และ The Weeknd ที่มีส่วนร่วมในขั้นตอนผลิต ทุกอย่างในซีรีส์จึงเละเทะและออกมาเป็นผลงานเชิง ‘หนังโป๊ซาดิสม์’ ตามแบบที่แหล่งข่าวนิรนามคนหนึ่งในกองถ่ายและอีกหลายคนเคยออกมาพูด
อย่างไรก็ดี สำหรับผู้เขียนมองว่าตัวละครของ Jocelyn แลดูน่าสนใจเป็นพิเศษ ทำให้เรานึกถึงช่วงชีวิตหนึ่งของอเมริกันป๊อปสตาร์ตัวจริงในตำนานอย่าง Britney Spears ที่เคยมีช่วงมรสุมชีวิตเป็นของตัวเอง จากการตกเป็น ‘เหยื่อ’ ของผู้คนและสื่อมวลชนทั้งโลก
Jocelyn และ Britney Spears ต่างตกอยู่ในสภาวะอันเลวร้ายกันทั้งคู่ เมื่อพวกเธอถูกรุกรานจากสภาพแวดล้อมโดยรอบ หลังจากที่ชีวิตในวงการป๊อปคัลเจอร์กำลังไต่ระดับขึ้นไปยังขั้นสูงสุด เพราะยิ่งโดนสปอตไลต์ส่องแสงและกลายเป็นจุดสนใจของสาธารณชนมากเท่าไร การถูกถล่มหรือจับตามองจากทุกฝ่ายก็ยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณมากเท่านั้น
‘ความโด่งดัง’
ทำให้ชีวิตของพวกเธอในฐานะป๊อปสตาร์
ถูกคุกคามและโจมตีได้ง่ายดาย
Britney Spears เคยแตกสลายจากการสูญเสียคุณป้าอันเป็นที่รักไปเมื่อปี 2007 ความเศร้าโศกทำให้เธอต้องหันมาเยียวยาจิตใจตัวเองผ่านการบำบัด อยู่ในสภาพเดียวกันกับ Jocelyn ที่เคว้งคว้างหลังแม่เสียชีวิตจนพยุงตัวเองไม่อยู่ อำนาจและสิทธิพิเศษของพวกเธอทั้งสองกลายเป็นของหวานสำหรับสื่อมวลชนในการนำเสนอข่าว ยิ่งพวกเธอล้มเหลว การเหยียบซ้ำก็ยิ่งเพิ่มระดับสูงขึ้นอย่างน่าหดหู่
ภาพรวมในบทบาท Jocelyn ของ Lily-Rose Depp กับการเป็นหนึ่งในสินค้าของอุตสาหกรรมบันเทิงที่บิดเบี้ยว ทำให้ผู้เขียนพบว่าเธอมีศักยภาพที่จะเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ในวงการการแสดง ทั้ง อารมณ์ สีหน้า และแววตาของ Lily ล้วนทำงานได้ดีจนสามารถมองข้ามจุดขายที่เธอพยายามเปลือยเปล่า เหมือนกับที่ Sydney Sweeney เคยพิสูจน์มาแล้ว ผ่านบทบาทสุดโจ่งครึ่มอย่าง Cassie Howard ใน Euphoria
เช่นเดียวกับอีกก้อนของฝั่งแคสต์ที่ต้องพูดถึงอย่าง Jane Adams, Da’Vine Joy Randolph และ Hank Azaria สามคนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวละคร Jocelyn ทุกคนล้วนปลดปล่อยการแสดงออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติและสมจริง ราวกับคร่ำหวอดในวงการเบื้องหลังอยู่แล้วเป็นทุนเดิม
ขณะที่ความผิดหวังกลับตกไปอยู่ที่ Jennie Kim และ Troye Sivan สองแคสติ้งที่หลายคนต่างให้ความสนใจก่อนเริ่มถ่ายทำโปรเจกต์นี้ หากแต่ท้ายที่สุดแล้ว บทบาทของ Dyanne และ Xander นั้นกลับเบาหวิวเสียจนเลือนรางไปหมด สองตัวละครนี้ไร้มิติและปรากฏตัวในซีรีส์แบบผิวเผินเท่านั้น กลายเป็น Chloe ที่รับบทโดย Suzanna Son เปล่งประกายขึ้นมาแทนที่ แม้ว่าเธอจะเป็นอีกคนที่มีปัญหากับการถ่ายทำของ Sam Levinson จนต้องถอนตัวออกมา
มากไปกว่านั้น อีกตัวละครเอกอย่าง Tedros ที่รับบทโดย Abel Makkonen Tesfaye หรือ The Weeknd ก็ถูกคนส่วนใหญ่วิจารณ์ถึงบทบาทอันยับเยิน ซึ่งผู้เขียนก็มองเห็นถึงแต่ด้านมืดมิดในตัวละครนี้ Tedros เอาแต่โอบล้อมแต่เรื่องเซ็กซ์ ความกระหาย การใช้อำนาจเผด็จการ วิธีทรมานคนในกำมือตนเอง รวมถึงทัศนคติที่น่าขยะแขยง ทุกอย่างทำให้คนดูไม่ได้เชื่อมต่อกับเขาอย่างลึกซึ้ง นี่จึงกลายเป็นอีก ‘บาดแผลอันยิ่งใหญ่’ ที่ทำให้ทิศทางของ The Idol พังพินาศตามมา
ส่วนของเพลง ยังได้ Mike Dean มาดูแลและร่วมแสดงไปในคราวเดียวกัน ซึ่งเขาก็รังสรรค์มู้ดได้ใกล้เคียงเหมือนกับที่เคยทำใน Fifty Shades of Grey (2015) มาก่อนหน้านี้ ซึ่งบางเพลงที่ Jocelyn ขับร้องในแต่ละตอน ก็ติดหล่มอยู่ในสไตล์ของการร้องแบบ The Weeknd อย่างเห็นได้ชัด
หากจะให้เอ่ยถึงแง่บวก ต้องขอยอมรับว่าด้านโปรดักชันโดยเฉพาะแผนก Cinematography ของ The Idol นั้นยังคงเอกลักษณ์ความเป็น Sam Levinson ไว้เช่นเคย ผ่านฝีมืออันละเมียดละไมของ Marcell Rév ที่เคยร่วมงานกันมาใน Assassination Nation (2018), Euphoria (2019) และ Malcolm & Marie (2021)
การขมวดซีรีส์แบบตัดฉับ จากที่ดั้งเดิมถูกตั้งเป้าหมายให้ออกอากาศ 6 ตอน ทำให้เรารู้สึกไม่แปลกใจกับการตัดสินใจในเส้นทางนี้ เมื่อวัดจาก Performance โดยรวม ทั้งบริบทต่างๆ ภายในเรื่อง ตัวละคร หรือแม้กระทั่งวิธีการสื่อสารกับผู้ชม
The Idol (2023) จึงกลายเป็นซีรีส์ที่มีบาดแผลเหวอะหวะเหมือนกับตัวละครเอกอย่าง Jocelyn ไปโดยปริยาย
อ้างอิง: