‘จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคืนหนึ่งเราสามารถฆ่าใครก็ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย?’
นี่คือคำถามที่แสนเรียบง่ายแต่กลับทรงพลัง เมื่อครั้งหนึ่ง The Purge (2013) ของ James DeMonaco ได้หยิบยกเอาคำถามดังกล่าวมาชำแหละให้เห็นถึงความดิบเถื่อนในตัวมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้มีอำนาจคิดจะเล่นตลกกับชีวิตคนโดยอ้างว่าเป็นการทำเพื่อสังคม
The Forever Purge ก็เป็นหนึ่งในหนังที่อยู่ใต้แฟรนไชส์ของคำถามนั้น เรื่องราวของมันว่าด้วย Adele (Ana de la Reguera) และ Juan (Tenoch Huerta) คู่รักชาวเม็กซิกันที่กำลังหนีการตามล่าของแก๊งค้ายาข้ามชาติมาฝั่งอเมริกา และใช้ชีวิตอยู่ในฐานะแรงงานไปวันๆ
กระทั่งคืนหนึ่ง พวกเขาได้มีโอกาสเข้าร่วมวันแห่งการล้างบาปเป็นครั้งแรกพร้อมกับได้รับความช่วยเหลือให้ที่หลบซ่อนจนถึงเช้า แต่แล้วเมื่อเสียงสัญญาณดังขึ้น ทุกอย่างดูเหมือนอยู่ในความสงบ วันที่ใครก็สามารถกลายเป็นฆาตกรได้จบลง โดยหารู้ไม่ว่าการหยิบยื่นโอกาสให้กับกลุ่มคนเหล่านั้นจะนำพาประเทศนี้ไปสู่เปลวเพลิง
ว่ากันตามตรง The Forever Purge ไม่ได้มีกลิ่นอายที่คล้ายคลึงกับแนวทางเดิมของตัวเอง เมื่อมันเลือกที่จะเบนเข็มจากความกลัวไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์และเสียดสีความเป็น ‘อเมริกันชน’ เมื่อหนังเลือกที่จะพูดอย่างตรงไปมาว่า เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความบ้าคลั่งของคนอเมริกันที่เอาแต่ฆ่าล้างบางคนแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง และคิดว่าตัวเองเป็นเหมือนพระเจ้าที่ลงมาโปรดเพื่อชำระล้างประเทศนี้
ไม่เพียงเท่านั้น หนังยังพูดถึงรากเหง้าของการล่าอาณานิคมชาวอินเดียนแดง การเหยียดเชื้อชาติ ไปจนถึงความคับแค้นของคนจนที่มีต่อคนรวย ทั้งหมดนั้นล้วนนำพาให้คิดได้อย่างไม่ยากเย็นว่า เป้าประสงค์ของผู้กำกับคืออะไร แต่เมื่อหนังพยายามจะขยายสเกลเกินความจำเป็นมันก็ส่งผลให้สิ่งอื่นหลุดออกจากการควบคุมได้อย่างง่ายดาย
และปัญหามันก็อยู่ตรงนี้ ตรงที่จุดเด่นนำพาจุดอ่อนที่สุดในงานมา เมื่อการหันเหทิศทางที่ตัวเองเคยเป็นโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดนอกจากการจิกกัดความเป็นอเมริกัน ก็ทำให้รายละเอียดด้านอื่นถูกลดทอนลงกลายเป็นเรื่องที่แทบจับต้องไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันฉายภาพของกลุ่มคนหนีตายกลายร่างเป็นเหล่ามือปืนที่ทำให้ผู้ล่ากลายเป็นตัวตลกในเกมที่พวกเขาสมควรจะเป็นศัตรูที่น่ากลัว
แม้เราจะเห็นได้ว่าบางครั้งพวกเขาก็ยังคงมีความกลัวในสิ่งที่เรียกว่าธาตุแท้ของมนุษย์ แต่ถึงกระนั้นเมื่อถูกถ่ายทอดออกมาผ่านมุมมองที่ไม่ได้ต้องการสำรวจความกลัวในจิตใจ ประเด็นเหล่านี้จึงกลายเป็นเหมือนอากาศธาตุที่ทำให้เราตระหนักได้ว่า ครั้งหนึ่งการล้างบาปที่เคยเกิดขึ้นในยุคแรกของแฟรนไชส์นั้นมีคุณค่ามากแค่ไหนในแง่ของการเป็นภาพยนตร์ที่ดี
อย่างไรก็ตาม หากเราย้อนกลับมามองถึงหัวใจหลักของหนังอย่าง ‘การจิกกัดสังคมอเมริกา’ ก็จะพบว่ามันเป็นประเด็นเดียวที่แข็งแรงในหนัง นัยหนึ่งก็ต้องบอกว่า มันเป็นหนังที่หลุดพ้นจากกรอบเดิมของแฟรนไชส์อย่าง ‘รัฐบาลฆ่าประชาชน’ ไปสู่ ‘การที่ประชาชนฆ่ากันเอง’ และประเด็นนี้ก็ดูมีน้ำหนักขึ้นเมื่อเราแง้มความจริงของสังคมอเมริกาในช่วงเวลาที่เกิดการประท้วงก็จะพบว่า ความรุนแรงจากการจลาจลนั้นสามารถเผาประเทศได้อย่างง่ายดายโดยที่แม้แต่ตำรวจก็ไม่สามารถทำอะไรได้
จากกลางคืนเป็นกลางวัน ความรุนแรงที่ปรากฏในเรื่องทำให้ The Forever Purge กลายเป็นหนังที่เข้าใกล้กับความเป็นสารคดีมากที่สุดในแฟรนไชส์ ทั้งภาพของกลุ่มคนหัวรุนแรงที่พร้อมระบายอารมณ์ใส่ใครก็ตามที่ผ่านมา ไปจนถึงพวกเหยียดเชื้อชาติที่มองคนอื่นเป็นเพียงแค่สิ่งแปลกปลอมที่ต้องกำจัด ซึ่งทั้งหมดนั้นอาจไม่ได้เป็นเพียงแค่ความดำมืดในจิตใจของคนอเมริกันเพียงอย่างเดียว เพราะในแง่หนึ่งมันคือของเราทุกคนด้วย
คำว่า Liberty หรือเสรีภาพ จึงล้อกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ในฐานะของ ‘คำพูด’ ที่สวยงาม แต่เป็น ‘เครื่องมือ’ ที่สามารถเผาทำลายได้ทุกสิ่งอย่างเมื่อมันมีมากเกินไป
และบางทีเรื่องราวความโกลาหลทั้งหมดก็อาจสรุปได้เหมือนกับที่ตัวละครหนึ่งพูดเอาไว้ในหนังว่า
“การล้างบาปไม่ได้ปลดปล่อยความโกรธแค้น มันเพิ่มความโกรธแค้นต่างหาก มันคือไวรัส ไวรัสเชื้อสายอเมริกันที่เต็มไปด้วยความโกรธและเกลียดชัง”
สามารถรับชม The Forever Purge ได้ทาง Netflix
รับชมตัวอย่างได้ที่: