×

4-4-2 ระบบคลาสสิกที่เลือนหาย (แล้วหน้าคู่จะหวนคืนหรือไม่?)

10.09.2025
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • วิคเตอร์ มาสลอฟ ยอดโค้ชชาวรัสเซียจึงได้พัฒนาระบบการเล่นแบบใหม่ที่จะใช้ต่อกรกับระบบการเล่น 4-2-4 โดยขยับผู้เล่นปีกจากที่ยืนห้อยในแนวรุกมายืนในแนวรับแทนเพื่อเพิ่มจำนวนผู้เล่นให้มากกว่าคู่แข่ง 
  • ความตายของระบบการเล่นแบบ 4-4-2 นั้นไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว จากเทรนด์ใหม่ของโลกฟุตบอลที่เริ่มมีการใช้ระบบการเล่นแบบ 4-2-3-1 ซึ่งจุดประสงค์นั้นก็ไม่แตกต่างจากการคิดค้น 4-4-2 เพื่อมาเอาชนะ 4-2-4 
  • ในทีมลิเวอร์พูลที่เริ่มมีการจับตามองว่าจะใช้งาน เอคิติเก กับอิซัค ร่วมกันได้อย่างไร ซึ่งหนึ่งในวิธีการคือการเล่นในระบบ “หน้าคู่” ที่อาจจะเป็นระบบ 4-2-4 หรืออีกทีคือ 4-2-2-2 ที่มีความเป็นไปได้ที่จะได้เห็น

“วันนี้เล่นระบบไหนลูกพี่” เสียงเด็กน้อยตะโกนถาม “4-4-2 ดิ ระบบเดิมไง”

 

นี่คือเสียงในความทรงจำของใครหลายคนเมื่อคิดถึงวันเก่าๆ ที่เราเคยใส่สตั๊ดหนักๆ ไซซ์ไม่พอดีหรอกลงไปวิ่งไล่ลูกฟุตบอลในสนามหญ้าที่มีส่วนผสมของดินและโคลนพอๆ กับหญ้า (โดยเฉพาะบริเวณหน้าประตูที่หากไม่ใช่ทะเลทรายก็เป็นโอเอซิส)

 

บางคนอาจจินตนาการว่าเป็นปีกลอยลมฝั่งซ้ายหรือขวาที่มีหน้าที่แค่การกระชากไปให้ถึงสุดเส้นแล้วหักกลับเข้ากลางมาให้ได้ หรือบางคนเป็นมิดฟิลด์คู่กลางที่ต้องทำได้ทั้งบู๊และบุ๋น เล่นได้ทั้งเกมรับและเกมรุก

 

แต่สำหรับใครหลายคน ถ้าพูดถึงระบบนี้มันต้อง “หน้าคู่” สิ! เดนนิส เบิร์กแคมป์ & เธียร์รี อองรี, แอนดี โคล & ดไวท์ ยอร์ค, จิอันฟรังโก โซลา & จิอันลูกา วิอัลลี, อลัน เชียเรอร์ & คริส ซัตตัน, ไนออลล์ ควินน์ & เควิน ฟิลลิปส์

 

สิ่งเหล่านี้มาจากสิ่งที่เราได้ดูเกมฟุตบอลในวันวาน โดยเฉพาะในฟุตบอลอังกฤษที่ยืนพื้นเล่นการเล่นในระบบ 4-4-2 (สี่สี่สอง) มาช้านาน หรือแม้แต่ในวิดีโอเกมยุคเก่าที่ระบบยืนพื้นสำหรับหลายทีมก็คือระบบการเล่นแบบ 4-4-2 เป็นหลัก

 

ระบบนี้มันหายไปไหน และมีโอกาสไหมที่จะกลับมา? (โดยเฉพาะหน้าคู่ประตูถัดไปเนี่ย!)

 

สำหรับระบบการเล่นแบบ “4-4-2” ถือเป็นระบบการเล่นที่เรียบง่าย ซับซ้อนน้อยที่สุดในบรรดาระบบการเล่นฟุตบอล

 

หลักคิดไม่มีอะไรมาก แบ่งออกเป็น 3 กองด้วยกัน กองหลัง 4 ซึ่งมีเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ 2 คนและฟูลแบ็กอีก 2 คน, กองกลาง 4 ที่จะแบ่งเป็นคู่กลาง 2 ที่ทำหน้าที่ทั้งเกมรุก เกมรับ กับปีก 2 ฝั่งที่มีหน้าที่ในการเติมเกมรุก และกองหน้าคู่ที่อาจจะกองหน้าตัวเป้าหนึ่งคน กับกองหน้าตัวต่ำหนึ่งคน

 

ผู้เล่นแต่ละคนจะมี “หน้าที่” ที่ค่อนข้างชัดเจน ไม่ซับซ้อน

 

ตัวอย่างที่คลาสสิกที่สุดคือทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การนำของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในช่วงต้นยุค 90 ที่ผู้รักษาประตูคือ ปีเตอร์ ชไมเคิล 

 

แบ็กซ้ายและขวาอย่าง เดนนิส เออร์วิน กับแกรี เนวิลล์ มีหน้าที่หลักคือเกมรับ แต่จะช่วยเติมไปสนับสนุนเกมรุกบ้างเมื่อมีโอกาส ขณะที่คู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ แกรี พัลลิสเตอร์ กับสตีฟ บรู๊ซ จะยืนปักหลักในแดนหลังเท่านั้น

 

มาที่แดนกลาง รอย คีน กับพอล สโคลส์ จับคู่กันได้ลงตัว คนหนึ่งบู๊ คนหนึ่งบุ๋น (แต่ในเวลาเดียวกันคนที่บุ๋นก็บู๊ได้ และคนที่บู๊ก็บุ๋นได้ คือเล่นได้ทั้งเกมหนักและเล่นแบบมันสมอง) ส่วนริมเส้นสองฝั่งนั้นคือ ไรอัน กิ๊กส์ ปีกพ่อมดกับ อังเดร แคนเชลสกีส์ จรวดยูเครน ที่ลีลาการลากเลื้อยอาจจะต่างกันแต่หน้าที่เหมือนกันคือไปให้สุดเส้นแล้วเปิดหักกลับเข้ามากลางประตูให้กองหน้า

 

ที่เหลือคือหน้าที่ของคู่กองหน้า หนึ่งคือแอนดี โคล ตัวจบสกอร์ที่หน้าที่อย่างเดียวคือการทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกบอลไปกองอยู่ก้นตาข่าย อีกหนึ่งคือเอริค คันโตนา กองหน้าที่มีหน้าที่ในการสร้างสรรค์เกมได้ด้วย

 

แค่เล่ามาถึงตรงนี้ก็คิดถึงวันเก่าๆ แล้ว…

 

 

กำเนิดสี่สี่สอง

 

เคยสงสัยไหมว่าแล้วระบบนี้มันเกิดขึ้นตอนไหน? 

 

ย้อนกลับไปในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 มีการคิดค้นระบบการเล่นใหม่เอี่ยม 4-2-4 ซึ่งจุดเด่นคือผู้เล่นปีกสองฟากที่จะขยับยืนขึ้นสูงที่สุด บางครั้งดันสูงยิ่งกว่ากองหน้าด้วยเพื่อเน้นการจู่โจมเต็มรูปแบบด้วยนักเตะตัวริมเส้นที่เปี่ยมด้วยทักษะและไหวพริบ (เช่น การ์รินชา หรือเจ้านกน้อย หนึ่งในปีกที่เก่งที่สุดตลอดกาลของโลกลูกหนัง)

 

ตัวอย่างทีมที่เล่นระบบนี้คือทีมชาติบราซิล ที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกหนแรกได้ในปี 1958 (เปเล่ เป็นศูนย์หน้ายุคนั้น) และอีกครั้งคือปี 1970 ที่ทีมเซเลเซา คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 3 ได้

 

เพื่อเป็นการต่อกรกับทีมบราซิล (และทีมอื่นๆ ที่เล่นในระบบนี้) ในเวลานั้น วิคเตอร์ มาสลอฟ ยอดโค้ชชาวรัสเซียจึงได้พัฒนาระบบการเล่นแบบใหม่ที่จะใช้ต่อกรกับระบบการเล่น 4-2-4 โดยขยับผู้เล่นปีกจากที่ยืนห้อยในแนวรุกมายืนในแนวรับแทนเพื่อเพิ่มจำนวนผู้เล่นให้มากกว่าคู่แข่ง (หรือภาษาฟุตบอลที่คนยุคนี้คุ้นเคยกันคือการโอเวอร์โหลด) แทำภาพบนหมากหน้ากระดานแปรเปลี่ยนเป็น 4-4-2

 

ด้วยการวางหมาก ไปจนถึงการฝึกซ้อมที่ทำให้ทีมเล่นกันอย่างมีวินัย กับการกดดันคู่แข่ง (เพรสซิ่ง) ระบบนี้ของมาสลอฟได้ผลเป็นอย่างดี และทำให้ดินาโม เคียฟ สโมสรดังของสหภาพโซเวียต (ในเวลาต่อมาคือยูเครน) คว้าแชมป์ลีกได้ถึง 3 สมัยซ้อนในช่วงปลายยุค 1960

 

 

ความตายของ 4-4-2

 

เมื่อคิดถึงยุคสมัยหนึ่งที่แทบทุกทีมจะเล่นในระบบการเล่นนี้ก็ยิ่งน่าประหลาดใจว่าทำไมระบบ 4-4-2 ในปัจจุบันถึงกลายเป็นของหายากในระดับ “ซูเปอร์แรร์” ไปเสียได้?

 

แต่ในความเป็นจริงแล้วการหายไปของสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่มีอะไรมากไปกว่าแค่เป็นกฎตามธรรมชาติของกาลเวลา ที่จะคัดเลือกว่าสิ่งใดที่จะได้อยู่ สิ่งใดจะหายไป และสิ่งใดจะมาแทน

 

ความตายของระบบการเล่นแบบ 4-4-2 นั้นไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว จากเทรนด์ใหม่ของโลกฟุตบอลที่เริ่มมีการใช้ระบบการเล่นแบบ 4-2-3-1 ซึ่งจุดประสงค์นั้นก็ไม่แตกต่างจากการคิดค้น 4-4-2 เพื่อมาเอาชนะ 4-2-4 

 

ระบบ 4-2-3-1 จะทำให้ทีมมีผู้เล่นกองกลางมากถึง 5 คน ซึ่งเอาแค่ตัวเลขมันก็มากกว่ากองกลาง 4 คนของระบบ 4-4-2 อยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริงมันถูกออกแบบการเล่นที่ลึกซึ้งกว่านั้น 

 

โดยจากที่เคยเป็นระบบในแบบ Negative คือเป็นระบบที่เน้นเกมรับแบบหวังผล (รากคือ 4-3-2-1 หรือระบบการเล่นแบบต้นคริสต์มาส) ก็ถูกบิดมาให้เป็นระบบการเล่นที่เน้นการครองเกมให้มากขึ้นผ่านผู้เล่นกองกลาง

 

ทีมที่เล่น 4-2-3-1 แล้วได้ผลอย่างยอดเยี่ยมและเป็นต้นแบบคือทีมชาติฝรั่งเศสในชุดแชมป์ยูโร 2000 ที่จะมี ยูริ จอร์เกฟฟ์,​ ซีเนดีน ซีดาน และคริสโตฟ ดูการ์รี ยืนเป็น 3 ประสานกองกลางตัวรุกที่สนับสนุนเธียร์รี อองรี อีกที

 

หรือโปรตุเกสที่จะมี หลุยส์ ฟิโก, รุย คอสตา และแซร์โจ คอนไซเซา อยู่ข้างหลังนูโน (หรือนูนู่!) โกเมส กองหน้าตัวเป้าอีกทีหนึ่ง

 

สเปน ก็คว้าแชมป์ฟุตบอลยูโรในปี 2008 ได้ด้วยระบบนี้ โดยมี อันเดรส อิเนียสตา, เชสก์ ฟาเบรกาส และชาบี เอร์นานเดซ หรือดาวิด ซิลวา เป็นแนวหลังให้เฟร์นานโด ตอร์เรส (และในฟุตบอลโลก 2010 เป็นดาวิด บียา)

 

4-4-2 เลยกลายเป็นระบบการเล่นที่ล้าสมัย ก่อนจะถูกลืมไปในที่สุด

 

 

แล้ว 4-4-2 จะกลับมาไหม?

 

ในปัจจุบันระบบการเล่นที่เป็นพื้นฐานสำหรับทุกทีมคือการเล่นแบบ 4-3-3 และระบบการเล่นที่ถูกมองว่ากำลังมาคือ 3-4-2-1 (ใช่ครับ…ระบบของรูเบน อโมริม)

 

ยังมองไม่ค่อยเห็นแววนักว่าระบบการเล่น 4-4-2 ในแบบดั้งเดิมยืนกันเป็นหน้ากระดาน (Orthodox) จะกลับมาได้อย่างไร

 

แต่มันมีสัญญาณบางอย่างที่น่าสนใจและชวนคิด จากกรณีข่าวการย้ายทีมในช่วงตลาดการซื้อขายรอบฤดูร้อนที่ผ่านมาซึ่งมีศึกชิงนางกันในรายของ อูโก เอคิติเก ศูนย์หน้าดาวเด่นทีมชาติฝรั่งเศสชุดเยาวชน (ปัจจุบันขึ้นชุดใหญ่แล้ว) ที่นิวคาสเซิล คาดหวังว่าจะคว้าตัวมาร่วมทีม

 

โดย “ไอเดีย” ของเอ็ดดี ฮาว นั้นไม่ได้คาดหวังว่าเอคิติเก จะมาเพื่อเป็นตัวสำรองแทนที่ของคัลลัม วิลสัน ศูนย์หน้าตัวเก๋าที่หมดสัญญาไปจากทีม แต่หวังว่าจะนำมาใช้เล่นร่วมกับ อเล็กซานเดอร์ อิซัค ศูนย์หน้าตัวหลักของทีมเลยทีเดียว

 

น่าเสียดายสำหรับแฟนนิวคาสเซิลที่ทั้งเอคิติเก และอิซัค ตอนนี้ย้ายไปลิเวอร์พูลหมดแล้ว แต่อย่างน้อยฮาวก็ได้ของดีอย่าง นิค โวลเทอมาเดอ และโยอันน์ วิสซา มาทดแทนเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งหมายความว่ามีโอกาสที่เราจะได้เห็นการเล่นของกองหน้าคู่นี้

 

รวมถึงในทีมลิเวอร์พูลที่เริ่มมีการจับตามองว่าจะใช้งาน เอคิติเก กับอิซัค ร่วมกันได้อย่างไร ซึ่งหนึ่งในวิธีการคือการเล่นในระบบ “หน้าคู่” ที่อาจจะเป็นระบบ 4-2-4 หรืออีกทีคือ 4-2-2-2 ที่มีความเป็นไปได้ที่จะได้เห็น

 

นั่นหมายความว่าแม้อาจจะเป็นสัญญาณเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่เราอาจจะได้เห็นการเล่นในระบบกองหน้าคู่กลับมา และอาจจะหมายถึงการเล่นในระบบ 4-4-2 กลับมาด้วยในอนาคต เพราะ “เทรนด์” ของโลกฟุตบอลเปลี่ยนแปลงเสมอไม่เคยหยุดนิ่ง

 

 

หน้าคู่ในความทรงจำ

 

เอาใจเด็กหนวด และเด็กที่หนวดอาจจะเพิ่งขึ้นแต่สนใจในเรื่องราวความคลาสสิกของโลกลูกหนัง

 

พูดถึงกองหน้าคู่ที่อยู่ในความทรงจำแล้วก็นับว่ามีไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งในอดีตจะมีทั้งการจับคู่แบบ “ตัวเล็ก-ตัวใหญ่” (หรือจะตัวใหญ่-ตัวเล็กก็ได้!) ที่จะมีกองหน้าตัวเป้าหนึ่งคนมีหน้าที่ในการพักบอลหรือโหม่งทำประตู กับกองหน้าตัวเล็กที่ต้องมีเทคนิคสูงกว่าจะมีหน้าที่ในการพลิกบอล สร้างสรรค์เกม และสอดขึ้นไปหาโอกาสทำประตู

 

คลาสสิกที่สุดในความเห็นของผู้เขียนคือ เอียน รัช และเคนนี ดัลกลิช ที่พาลิเวอร์พูลครองความยิ่งใหญ่ในยุค 80 (ยุค 70 คือจอห์น โตแช็ค และเควิน คีแกน) แต่ถ้าเอาที่ชอบและเกิดทันดูต่อเนื่องจริงๆคือ ร็อบบี ฟาวเลอร์ กับสแตน คอลลีมอร์

 

แต่การจับคู่ไม่ได้มีแบบเดียว ยังมีในแบบของ 

 

  • คู่คลาสสิค เดนนิส เบิร์กแคมป์ & เธียร์รี อองรี (อาร์เซนอล)
  • คู่ที่คล้ายแต่แตกต่าง ดไวต์ ยอร์ค & แอนดี โคล (แมนฯ ยูไนเต็ด)
  • คู่สุดดิบ อีวาน ซาโมราโน & มาร์เซโล ซาลาส
  • คู่สมบูรณ์แบบ เบเบโต & โรมาริโอ
  • คู่ Italian Jobs จิอันฟรังโก โซลา & จิอันลูกา วิอัลลี

 

เรียกได้ว่ามันก็ไม่มีกฎตายตัวสำหรับการยืนกองหน้าคู่กัน แต่ที่แน่นอนคือการจับคู่ของสองนักเตะที่มีหน้าที่สำคัญที่สุดในทีมคือการยิงประตูนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้แฟนฟุตบอลรู้สึกตื่นเต้นและเฝ้ารอการประสานงานของพวกเขา

 

อ่านมาถึงตรงนี้ คิดถึงกองหน้าคู่ไหนกันบ้างไหมครับ?

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising