×

‘อัซซูรี’ จะถึงคราวสูญพันธุ์? อิตาลีกับความเสี่ยงตกรอบฟุตบอลโลก 3 หนติดต่อกัน

09.06.2025
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

6 MIN READ
  • ประเมินสถานการณ์แล้ว ‘ในทางทฤษฎี’ อิตาลีไม่ได้ถึงกับอยู่ในอันตรายขนาดนั้น เพราะพวกเขาเพิ่งจะลงสนามเกมแรกเกมเดียวในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โดยยังเหลือเกมอีก 7 นัดให้แก้ตัวซึ่งยังมีโอกาสที่จะกลับมาเข้ารอบได้
  • การเปลี่ยนแปลงโค้ชเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่หนทางกลับสู่ความยิ่งใหญ่ที่ยั่งยืนของอิตาลี เพราะปัญหาของอดีตชาติมหาอำนาจลูกหนังโลกนั้นมีเยอะกว่านั้นมาก
  • ขาดแคลนดาวรุ่งฝีเท้าดี เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดมากที่สุด เพราะในอดีตอิตาลีคือชาติที่ให้กำเนิดซูเปอร์สตาร์ลูกหนังระดับโลกที่เป็นตำนานมากมาย โดยเฉพาะในยุค 80-90 ที่เซเรียอาแข็งแกร่งที่สุด แต่นักเตะระดับนี้แทบไม่มีให้เห็นอีกเลยในช่วงหลัง

สำหรับชนชาติที่เคยยิ่งใหญ่เสมอในเกมลูกหนัง การเริ่มต้นศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกครั้งใหม่ด้วยการพ่ายแพ้ต่อนอร์เวย์ขาดลอยถึง 3-0 ไม่ต่างอะไรจากฝันร้าย

 

ฝันร้ายที่ชวนให้คิดถึงช่วงเวลาที่แสนเศร้าเมื่ออิตาลี ไม่ได้ผ่านไปเล่นในฟุตบอลโลก 2 หนหลังสุดทั้งที่รัสเซียในปี 2018 และที่กาตาร์ในปี 2022 

 

การพลาดไปฟุตบอลโลกเป็นหนที่ 3 ติดต่อกันสำหรับชาติที่เป็นแชมป์ฟุตบอลโลก 3 สมัยเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี (FIGC) ตัดสินใจเด็ดขาดสั่งปลด ลูเซียโน สปัลเล็ตติ พ้นจากตำแหน่งโค้ช โดยที่เจ้าตัวต้องออกมาประกาศข่าวการโดนไล่ออกของตัวเองเสมือนประกาศว่าจะลาออกเอง และนำไปสู่ประเด็นสนทนาถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในทีม ‘อัซซูรี’

 

เกิดอะไรขึ้นกับอิตาลี และพวกเขาจะฝ่าวิกฤตไปฟุตบอลโลก 2026 ที่สหรัฐอเมริกาได้ทันเวลาไหม?

 

 

“เกมระหว่างอิตาลีพบมอลโดวา จะเป็นเกมนัดสุดท้ายของ ลูเซียโน สปัลเล็ตติ  ในฐานะโค้ชทีมชาติอิตาลี”

 

แถลงการณ์อย่างเป็นทางการของสหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี เกิดขึ้นตามมาหลังการแถลงข่าวที่ชวนสับสน เพราะเหมือนสปัลเล็ตติจะแจ้งข่าวการลาออกจากตำแหน่งอย่างกะทันหันทันทีหลังจบเกมที่พ่ายกับนอร์เวย์ โดยที่มีผู้สื่อข่าวชาวอิตาลีพยายามยิงคำถามปิดท้ายที่กลายเป็นประเด็น

 

“คุณรู้สึกว่าคุณถูกหักหลังหรือเปล่าแบบนี้?”

 

อดีตโค้ชผู้พานาโปลีคว้าแชมป์เซเรียอาได้เป็นครั้งแรกหลังยุคของ ดิเอโก มาราโดนา ในปี 1990 ไม่ได้พูดคำว่า ‘หักหลัง’ โดยบอกแค่ “หักหลัง? ไม่ ผมพูดแค่…” ก่อนจะเดินออกจากห้องแถลงข่าวทันที แต่เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นที่สื่ออิตาลีจับขึ้นมาถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนักระหว่างโค้ชอิตาลีที่จะกลายเป็นอดีตหลังจบเกมกับมอลโดวาในค่ำคืนนี้ กับทางด้าน กาบริเอเล กราวินา ประธานสหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี

 

อย่างไรก็ดี ปัญหาของสปัลเล็ตติไม่ได้มีแค่กับทางด้านบิ๊กวงการฟุตบอลอิตาลีเท่านั้น เพราะกับผู้เล่นในทีมเองก็มีรายงานว่าเขาไม่ได้รับความร่วมมือด้วยเท่าไรนัก โดยย้อนกลับไปในช่วงฟุตบอลยูโร 2024 นักเตะอัซซูรินีเองก็ไม่พอใจกับวิธีการฝึกซ้อมของเขา

 

สิ่งเหล่านี้ทำให้สปัลเล็ตติรู้สึกได้ว่าเขาถูก ‘โดดเดี่ยว’ จากการทำงาน 

 

แต่ในอีกมุมหนึ่ง สำหรับทีมชาติอิตาลี สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่โค้ชประสบการณ์สูงรายนี้เข้ามารับตำแหน่งต่อจาก โรแบร์โต มันชินี – คนที่เคยเป็นผู้กอบกู้พาอิตาลีที่ไม่ได้ไปฟุตบอลโลก 2018 คว้าแชมป์ฟุตบอลยูโร 2020 ได้อย่างมหัศจรรย์ ก่อนจะกลายเป็นคนที่ทำให้ทุกคนผิดหวังอีกครั้งเพราะไม่สามารถพาอิตาลีไปฟุตบอลโลก 2022 ได้ – มันนำไปสู่ทางเลือกที่อาจจะเหลือเพียงทางเดียว

 

นั่นคือการหาใครสักคนเข้ามาแทนที่ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

 

 

อิตาลีจะไม่ได้ไปฟุตบอลโลกหนที่ 3 ติดต่อกัน?

 

ความพ่ายแพ้ต่อนอร์เวย์ด้วยสกอร์ขาดลอยถึง 3-0 (ซึ่งเป็นสกอร์ตั้งแต่ช่วงจบครึ่งแรกด้วย) ในทางสถิติแล้วเป็นเรื่องใหญ่เพราะอิตาลีไม่เคยแพ้ในเกมรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกติดต่อกัน 2 นัดแบบนี้มาก่อน (แมตช์ก่อนหน้านี้คือการพ่ายมาซิโดเนียอย่างสุดช็อกในรอบเพลย์ออฟฟุตบอลโลก)

 

แต่การแพ้ชาติที่ปกติแล้วมีสถานะเป็นรองอย่างนอร์เวย์แบบหมดรูปเช่นนี้ส่งสัญญาณอันตรายที่ปลุกให้คนอิตาลีกลัวขึ้นมาทันที

 

ความกลัวที่ว่าคือความกลัวที่จะไม่ได้ไปฟุตบอลโลกเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้

 

อย่างไรก็ดีหากประเมินสถานการณ์แล้ว ‘ในทางทฤษฎี’ อิตาลีไม่ได้ถึงกับอยู่ในอันตรายขนาดนั้น เพราะพวกเขาเพิ่งจะลงสนามเกมแรกเกมเดียวในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โดยยังเหลือเกมอีก 7 นัดให้แก้ตัวซึ่งยังมีโอกาสที่จะกลับมาเข้ารอบได้

 

โดยเกมที่เหลือในกลุ่ม I อยู่คือ

 

◾ 9 มิ.ย. – อิตาลี vs. มอลโดวา

◾ 5 ก.ย. – อิตาลี vs. เอสโตเนีย

◾ 8 ก.ย. – อิสราเอล vs. อิตาลี (สนามเป็นกลาง)

◾ 11 ต.ค. – เอสโตเนีย vs. อิตาลี

◾ 14 ต.ค. – อิตาลี vs. อิสราเอล

◾ 13 พ.ย. – มอลโดวา vs. อิตาลี

◾ 16 พ.ย. – อิตาลี vs. นอร์เวย์

 

เพียงแต่ ‘ในทางปฏิบัติ’ แล้วมีจุดที่น่าเป็นกังวลอยู่มากคือการผงาดขึ้นมาของนอร์เวย์ ซึ่งนำโดย เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ และ มาร์ติน โอเดการ์ด สองสตาร์พรีเมียร์ลีกที่เก็บชัยชนะรวด 3 นัด ถล่มคู่แข่งอย่างอิตาลี มอลโดวา และอิสราเอล โดยมีผลต่างประตูได้เสียในเวลานี้ถึง +10 ลูก

 

ด้วยฟอร์มและขุมกำลังแล้ว โอกาสที่นอร์เวย์จะแล่นเรือโกอิ้งแมรี่ไปถึงสหรัฐอเมริกา ประเมินจากฟอร์มแล้วเป็นไปได้สูงมากในฐานะแชมป์กลุ่ม

 

โอกาสที่เหลือสำหรับอิตาลีและทีมอื่นคือการเป็นรองแชมป์กลุ่มเพื่อลุ้นตั๋วไปเพลย์ออฟ ซึ่งอิสราเอลเองก็ผลงานใช้ได้โดยเก็บชัยชนะไป 2 นัด มี 6 คะแนนแล้ว หรือแม้แต่เอสโตเนียเองก็มีแล้ว 3 คะแนน

 

นั่นหมายถึงอิตาลีอยู่ใต้สถานการณ์กดดันที่ไม่อาจจะพลาดได้อีกเลยแม้แต่เกมเดียวหากหวังจะผ่านเข้ารอบสุดท้าย ต่อให้เป็นการจบด้วยการเข้าที่ 2 ของกลุ่มก็ตาม และต่อให้เข้าเพลย์ออฟ พวกเขาก็เจอความผิดหวังมา 2 สมัยติด (แพ้สวีเดนและมาซิโดเนีย) ที่เป็นปมในใจ

 

มองแบบนี้แล้วก็เข้าใจในความวิตกจริตของคนอิตาลีขึ้นมา

 

 

พิซซ่าสารพัดท็อปปิ้ง

 

การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันคือการแต่งตั้งโค้ชคนใหม่ ซึ่งมีข่าวว่าอาจจะเป็น เคลาดิโอ รานิเอรี กุนซือจอมกอบกู้ซึ่งเพิ่งเสร็จงานจากการนำโรมา สโมสรเก่าพลิกสถานการณ์จากการลุ้นหนีตกชั้นจนได้ไปสโมสรยุโรป (ในขณะที่ฤดูกาลก่อนหน้าก็ช่วยกายารีรอดพ้นจากการตกชั้นได้ก่อนประกาศอำลาวงการไปแล้วครั้งหนึ่ง)

 

อีกคนที่อยู่ในข่ายคือ สเตฟาโน ปิโอลี ผู้เคยพาเอซี มิลาน คว้าสคูเด็ตโตในปี 2022 ซึ่งปัจจุบันคุมทีมอัล-นาสเซอร์ สโมสรเดียวกับ คริสเตียโน โรนัลโด ในซาอุดีอาระเบีย

 

อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงโค้ชเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่หนทางกลับสู่ความยิ่งใหญ่ที่ยั่งยืนของอิตาลี เพราะปัญหาของอดีตชาติมหาอำนาจลูกหนังโลกนั้นมีเยอะกว่านั้นมาก

 

ไม่ว่าจะเป็น 

 

◾ การตกต่ำของลีกเซเรียอา อดีตลีกฟุตบอลที่ดีที่สุดของโลกที่เต็มไปด้วยผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์ที่เก่งที่สุดเท่านั้น ปัจจุบันกลายเป็นลีกชั้นรองที่ไม่มีซูเปอร์สตาร์ในลีกอีกเลย

 

◾ นักเตะอิตาลีคุณภาพต่ำลงอย่างน่าใจหาย โดยแทบไม่มีผู้เล่นระดับท็อปของลีกค้าแข้งในลีกระดับท็อปของยุโรปลีกอื่นเลย ผู้เล่นโดยส่วนใหญ่เล่นในเซเรียอา ซึ่งคุณภาพการแข่งขันไม่สามารถสู้กับลีกอื่นได้ในเวลานี้ ทำให้ขาดการพัฒนา

 

◾ ขาดแคลนดาวรุ่งฝีเท้าดี เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดมากที่สุด เพราะในอดีตอิตาลีคือชาติที่ให้กำเนิดซูเปอร์สตาร์ลูกหนังระดับโลกที่เป็นตำนานมากมาย โดยเฉพาะในยุค 80-90 ที่เซเรียอาแข็งแกร่งที่สุด พวกเขามีสุดยอดนักเตะให้เลือกใช้มากมายตั้งแต่ โรแบร์โต บัจโจ, อเลสซานโดร เดล ปิเอโร, ฟรานเชสโก ต็อตติ ไปจนถึง ฟรังโก บาเรซี, เปาโล มัลดินี, จานลุยจิ บุฟฟอน แต่นักเตะระดับนี้แทบไม่มีให้เห็นอีกเลยในช่วงหลัง คนที่พอเชิดหน้าชูตาได้มีเพียง นิโคโล บาเรลลา ห้องเครื่องที่ปัจจุบันอายุ 28 ปีแล้ว ขณะที่ เฟเดริโก คิเอซา ที่เคยเป็นตัวท็อปก็ยังไม่สามารถเรียกสภาพร่างกายกลับมาเหมือนช่วงก่อนบาดเจ็บรุนแรงได้อีกเลย

 

◾ โครงสร้างฟุตบอลที่ล้มเหลว ปัญหาทั้งหมดย้อนกลับมาที่เรื่องโครงสร้างของฟุตบอลอิตาลีที่ล้มเหลวมานานแล้ว แต่ไม่มีความพยายามที่จะเริ่มต้นแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง แตกต่างจากชาติอื่นอย่าง เยอรมนี อังกฤษ โดยไม่ต้องนับ ฝรั่งเศส หรือสเปน ที่พยายามวางรากฐานทุกอย่างใหม่ ทำให้ทีมชาติมีความเข้มแข็งอย่างมาก เต็มไปด้วยผู้เล่นที่มีคุณภาพ

 

เปรียบแล้วปัญหาของวงการฟุตบอลอิตาลีจึงเหมือนแป้งที่ไม่ได้คุณภาพ เตาอบที่เก่าและเสียหายขาดการซ่อมแซม ทำให้ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามโปะหน้ามันด้วยท็อปปิ้งอะไรก็ตาม สุดท้ายมันก็ไม่ได้เป็นพิซซ่าที่น่าหม่ำอยู่ดี

 

จริงอยู่ที่การพยายามแก้ไขปัญหาของสหพันธ์ฟุตบอลอิตาลีในเวลานี้อาจจะดีกว่าการอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย ซึ่งมันก็เป็นไปได้ที่โค้ชคนใหม่อาจจะแก้ไขสถานการณ์ได้

 

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นน่าจะพอเตือนสติพวกเขาได้สักทีว่า อย่ายึดติดกับอดีตอันยิ่งใหญ่จนละเลยที่จะทำเพื่ออนาคต

 

กรุงโรมไม่ได้สร้างในวันเดียวฉันใด มันก็ไม่ได้เสื่อมโทรมในคืนเดียวฉันนั้น

 

ฟุตบอลอิตาลีเสื่อมมานานแล้ว และมันจะน่าดีใจกว่าหากมีใครสักคนลุกขึ้นมาเพื่อบอกว่า “เราต้องกอบกู้อิตาลีกันเถอะ” เสียที

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising