“มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลยและเป็นการกระทำที่ไม่ควร” อาร์เนอ สลอต กล่าวถึงใบแดงของฮูโก เอคิติเก ศูนย์หน้าคนใหม่ของทีมที่จะเป็นตำนานติดตัวไปอีกนาน
ย้อนกลับไปในเกมคาราบาว คัพ (ลีกคัพ) รอบที่ 3 เมื่อคืนที่ผ่านมา เอคิติเก ซึ่งลงสนามมาในฐานะตัวสำรองแทนที่ของอเล็กซานเดอร์ อิซัค ที่ถูกเปลี่ยนตัวออกไปพักหลังทำประตูในช่วงท้ายครึ่งแรกและเป็นประตูแรกในสีเสื้อหงส์แดง สวมบทฮีโร่เมื่อใส่สกอร์จากการแอสซิสต์ของเฟเดริโก คิเอซา ให้ทีมกลับมาขึ้นนำเซาแธมป์ตัน 2-1 อีกครั้ง
แต่ Hero ก็กลายเป็น Zero ไปเพราะดันไปฉลองประตูด้วยการถอดเสื้อแข่งออกมาเพื่อกะจะชูให้ทุกคนเห็นหมายเลข 22 กับชื่อบนหลังเสื้อ ‘EKITIKE’ โดยที่ลืมตัวไปว่าตัวเองโดนใบเหลืองไปก่อนแล้ว และนั่นหมายถึงใบเหลืองที่ 2 ที่จะต้องโดนไล่ออกจากสนาม
อย่างไรก็ดีประเด็นที่น่าสนใจคือ เหตุผลที่ทำให้เอคิติเก เลือกที่จะฉลองประตูด้วยการแสดงออกแบบนี้ (มากกว่าจะหันไปเฮกับคิเอซา ผู้ทุ่มเทและเป็นคนที่ควรได้เครดิตมากที่สุดจากประตูนี้) นั้นเป็นเพราะเกิดความรู้สึกบางอย่างในใจหรือเปล่า
ระหว่างเขากับอิซัค
เสือสองตัวกำลังจะเริ่มกัดกันเองในถ้ำเดียวกันแล้วหรือเปล่านะ?
เสียงในหัว
เรื่องนี้ต้องบอกก่อนว่าไม่มีใครรู้แน่ชัด เพียงแต่เป็นประเด็นสนทนาที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ‘อาการ’ ของเอคิติเก
ข้อสังเกตนี้ถูกตั้งขึ้นมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมที่แอนฟิลด์เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา โดยอิซัค ได้โอกาสในการลงสนามเป็นตัวจริงก่อนบ้าง และสามารถปลดล็อกทำประตูแรกให้กับลิเวอร์พูลได้สำเร็จในช่วงก่อนหมดครึ่งแรกได้ไม่นาน
ประตูที่คลายความกดดันของอิซัค (ซึ่งหลังจบครึ่งแรกถูกสั่งให้เรียกความฟิตต่อทันทีในระหว่างที่ทุกคนกลับเข้าห้องแต่งตัว) ถูกจับตามองว่าอาจกลายเป็นความกดดันของเอคิติเก ศูนย์หน้าเพื่อนร่วมทีมที่ย้ายมาก่อนในรอบตลาดการซื้อขายเดียวกันแทน
เพราะท่าทีของดาวยิงทีมชาติฝรั่งเศสวัย 23 ปีดูแอบเกรี้ยวกราดกว่าปกติ มีจังหวะโวยวายผู้ตัดสินที่นำไปสู่การได้ใบเหลืองแบบไม่จำเป็น
ก่อนที่มันจะนำไปสู่ความวายป่วงของตัวเองและเกือบจะทำให้ทีมวายป่วงไปด้วย เมื่ออุตส่าห์ทำประตูได้แต่ดันฉลองประตูด้วยการถอดเสื้อ ซึ่งต่อให้ตัดประเด็นเรื่องการโดนลงโทษใบเหลืองใบที่ 2 จนกลายเป็นใบแดง ที่จะทำให้ตัวเองติดโทษแบนในเกมต่อไปแล้ว
ก็ยังน่าคิดว่าทำไมเอคิติเก ถึงอยากแสดงออกถึงการ ‘ประกาศชื่อแบบนั้น’
อาการนั้นเหมือนจะแพ้ ‘เสียงในหัว’ ของตัวเอง
เสียงที่บอกให้ประกาศกับทุกคนว่าเขาไม่ได้มาที่ลิเวอร์พูลเพื่อจะเป็นรองใคร เขาดีพอที่จะเป็นเจ้าของตำแหน่งตัวจริงเหมือนกัน ต่อให้คู่แข่งคนนั้นคืออเล็กซานเดอร์ อิซัค ศูนย์หน้าค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลอังกฤษก็ตาม
เพราะนับตั้งแต่อิซัค ย้ายมาจากนิวคาสเซิลได้สำเร็จ สิ่งที่ทุกคนพูดถึงคือตำแหน่งศูนย์หน้าตัวจริงของลิเวอร์พูลย่อมตกเป็นของกองหน้าทีมชาติสวีเดน ซึ่งมีระดับชั้นการเล่นที่เหนือกว่า และมีสถิติการทำประตูที่พิสูจน์แล้วในระดับพรีเมียร์ลีก
เรื่องนี้เหมือนแทงใจดำสำหรับเอคิติเก ที่ทำให้มีการพูดกันว่าหากเขารู้ว่าอิซัคจะย้ายมาแอนฟิลด์ในที่สุด เขาอาจจะเลือกที่จะไม่มาก็ได้?
เสือสองตัว
คำถามสนุกๆ ที่น่าสนใจคือ ในเมื่อตอนนี้ทั้งสองต้องอยู่ในทีมเดียวกันแล้ว ความเป็น ‘คู่แข่ง’ ระหว่างกันมันจะทำให้เกิดผลเสียอย่างเดียว
หรือมันอาจจะทำให้เกิดผลดี?
ในประวัติศาสตร์ของเกมกีฬา กรณี ‘คู่แข่งร่วมทีม’ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เป็นหนึ่งในเคสคลาสสิกของโลกอยู่แล้ว แม้แต่ในทีมลิเวอร์พูลเอง ย้อนกลับไปไม่นานก็มีกรณีระหว่าง โม ซาลาห์ กับซาดิโอ มาเน สองสตาร์แอฟริกันที่แอบให้ความรู้สึกคล้ายกับกรณีของอิซัค และเอคิติเก เบาๆ
มาเน นั้นเป็นสตาร์เด่นของลิเวอร์พูลมาก่อน หลังเจอร์เกน คล็อปป์ ดึงตัวมาจากเซาแธมป์ตันในปี 2016 เป็นฮีโร่ของทีมในตำแหน่งปีกขวาที่พลิกทำให้ทีมกลับมาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเกาะกลุ่มหัวตารางนานหลายเดือน
แต่การมาของซาลาห์ ในปีถัดมาทำให้ชีวิตของมาเนเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เขาต้องสละตำแหน่งปีกขวาที่ถนัดเพื่อไปยืนปีกซ้ายแทนเพราะเพื่อนใหม่ชาวอียิปต์มีประโยชน์ที่สุดในตำแหน่งที่เคยเป็นของเขามาก่อน
มากกว่านั้นคือบทเด่นของทีมก็ตกเป็นของซาลาห์ ที่แจ้งเกิดอย่างมหัศจรรย์ในฤดูกาล 2017/18 ด้วยสถิติ 44 ประตูตลอดฤดูกาล
ช่วงเวลานั้นมีการสังเกตกันว่าระหว่างทั้งสองมีความ ‘แข่งขัน’ กันอยู่ แข่งกันทำผลงานและเคยถึงขั้นมีการระเบิดอารมณ์ของมาเน ที่ผิดหวังเพราะซาลาห์ไม่ยอมผ่านบอลให้ (โชคดีที่พวกเขามีโรแบร์โต เฟียร์มิโน ที่เป็นคนกลางคอยระงับเหตุให้)
ซาลาห์ยอมรับเมื่อไม่นานมานี้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมาเน จะเรียกว่า ‘เพื่อน’ ก็ไม่ใช่ขนาดนั้น
แต่อย่างน้อยในระหว่างที่เล่นในทีมเดียวกัน ทั้งสองค่อยๆ ลดความเป็นคู่แข่งลงและเติมความเป็นเพื่อนร่วมทีมและความเป็นมืออาชีพเข้ามา ทำให้สุดท้ายพาทีมไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้ ก่อนจะแยกทางกันไปหลังจบฤดูกาล 2021/22
เรื่องงานไม่ใช่เรื่องส่วนตัว
ความสัมพันธ์แบบเพื่อนร่วมทีมที่ไม่อยากคุยกันไม่ได้มีแค่นี้ ในอดีตย้อนไปไกลกว่านั้นเคยมีกรณีของแอนดี โคล กับเท็ดดี เชอร์ริงแฮม ที่ต้องลงสนามในฐานะกองหน้าคู่กันในทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งๆ ที่ไม่ถูกกันอย่างรุนแรง
แต่ทั้งคู่ก็ยึด ‘ความเป็นมืออาชีพ’ เป็นหลัก ไม่ชอบกันก็ไม่ต้องฝืนจะคุยกัน หรือคุยกันเท่าที่จำเป็นก็พอ และพยายามไม่ให้เรื่องเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อทีมหรือองค์กรอย่างเด็ดขาด
หรือพูดง่ายๆ คือทั้งสองใช้กฎเหล็กของการทำงาน ‘Do not take it personally’ ไม่เก็บเอามาใส่ใจเป็นเรื่องส่วนตัวในการทำงาน (แม้ว่าบางทีมันอาจจะเลี่ยงการกระทบกระทั่งกันบ้างไม่ได้ก็ตาม)
เพราะหากเก็บสิ่งเหล่านี้มาใส่ใจแล้ว มันจะทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ (Toxic relationship) ที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแค่คนสองคน
แต่มันอาจจะหมายถึงกระทบต่อทีมทั้งทีม
เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตมากมาย เช่น ในทีมแอลเอ เลเกอร์ส ก็มีกรณีความขัดแย้งระหว่าง โคบี ไบรอันต์ อดีตตำนานผู้ล่วงลับ กับแชคควิล โอนีล สตาร์รุ่นพี่ที่ใหญ่และดังมาก่อน โดยทั้งสองมีปากเสียงกันตลอดเวลา และแย่งชิงการเป็นผู้นำในทีมระหว่างกัน
ความสัมพันธ์อันเลวร้ายในเวลานั้น ไปไกลเกินกว่าคำว่า ‘คู่แข่ง’ เพราะมันจะเป็น ‘คู่แค้น’ อยู่แล้ว ถึงแม้ว่าลึกๆ แล้วจะเป็นเรื่องของความมุ่งมั่นตั้งใจก็ตาม ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย
เช่นกันกับในการแข่งขันรถฟอร์มูลาวัน หลายคนคงจำกรณีความสัมพันธ์เป็นพิษระดับอันตรายถึงชีวิตและจิตใจระหว่าง นิโก รอสส์เบิร์ก กับลูอิส แฮมิลตัน ที่เคยอยู่ด้วยกันในทีม Mercedes ระหว่างปี 2013-2016 ได้ โดยในตอนนั้นทั้งสองคนต่างแข่งขันกันอย่างดุเดือด ใส่กันแบบไม่ยั้งไม่ว่าจะหน้าฉากหรือหลังฉาก
จนสุดท้ายเมื่อรอสเบิร์กได้แชมป์โลกในปี 2016 ก็ตัดสินใจรีไทร์จากวงการทันที
ถ้าเป็นเราจะทำอย่างไร?
นั่นสิ หากสมมติว่าเราเป็นเอคิติเก หรือตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้จะทำอย่างไร?
ความจริงเรื่องของการแข่งขันนั้นไม่ได้มีเฉพาะในวงการกีฬา แต่เกิดขึ้นได้กับทุกวงการและทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนในที่ทำงานเดียวกันเอง คนในทีมเดียวกันหรือคนละทีมแต่ที่ทำงานเดียวกัน ไปจนถึงเจ้าของธุรกิจที่รู้จักมักจี่กัน หรือเจ้าของร้านกาแฟที่เปิดขายอยู่ใกล้กัน
การเป็นคู่แข่งหรือ Rivalry ไม่ได้เป็นเรื่องไม่ดีเสมอไป หากใช้อย่างถูกต้องและสร้างสรรค์มันก็สามารถเป็นพลังในการผลักดันที่ทำให้แข่งขันกันไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือการขับเคี่ยวกันระหว่าง ลิโอเนล เมสซี และคริสเตียโน โรนัลโด ที่สามารถบอกได้เลยว่าหากเมสซีไม่มีโรนัลโด และโรนัลโดไม่มีเมสซี ทั้งสองไม่มีวันที่จะก้าวมาถึงจุดที่เป็นอยู่ได้อย่างแน่นอน และดีไม่ดีอาจจะอำลาวงการไปตั้งนานแล้วทั้งสองคน
เป๊ป กวาร์ดิโอลา กับคล็อปป์เองก็เคยแข่งขันกันอย่างดุเดือดกับการพาทีมไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งต่างก็ ‘สำเร็จ’ ในแบบของตัวเอง ไม่ว่าจะในเชิงของจำนวนถ้วยแชมป์ หรือการสร้างทีมและวางรากฐานไปสู่อนาคต และเป็นสิ่งเดียวกันกับที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กับอาร์แซน เวนเกอร์ และโชเซ มูรินโญ เคยผ่านมาก่อน
ใบแดงนี้ของเอคิติเก ไม่ว่าสุดท้ายมันจะเกิดขึ้นเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ หรือการไม่ทันคิด ดีใจเกินเหตุ (ซึ่งเจ้าตัวชี้แจงและขอโทษอย่างสำนึกผิดแล้ว) หรือตั้งใจอยากจะแสดงออกบางอย่างว่า “ข้าคือเอคิติเก ข้าไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก” สิ่งที่เขาต้องทำคือการลืมมันไปให้หมดและพยายามกลับมาตั้งหน้าตั้งตาพิสูจน์ผลงาน ทั้งในสนามซ้อมและในสนามแข่งขันเมื่อได้โอกาส
ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรก็ตามกับเพื่อนที่เป็นคู่แข่งอย่างอิซัค ขั้นต่ำที่สุดคือต้องเคารพ (Respect) ระหว่างกัน
ใช้ผลงานเท่านั้นแทนคำตอบ ไม่ใช่ใช้คำพูดหรือกิริยาไม่เหมาะสม มองการแข่งขันให้เป็นเรื่องดี ตราบใดที่ยังเล่นกันแบบ ‘แฟร์ๆ’
ทั้งหมดนี้ย้ำอีกทีนะว่าใช้ได้กับทุกคนและทุกที่ทำงาน
เปลี่ยนความเป็นคู่แข่งให้เป็นพลังแรงฤทธิ์ได้เสมอ ในวงเล็บถ้าใจเราแกร่งพอ
อ้างอิง:
- https://www.nytimes.com/athletic/6656490/2025/09/24/hugo-ekitike-liverpool-red-card/
- https://www.nytimes.com/athletic/6655915/2025/09/23/hugo-ekitike-red-card-liverpool-slot/
- https://www.roadandtrack.com/car-culture/g63788373/formula-1-greatest-same-team-rivalries/
- mindtools.com/acznnj2/how-to-manage-rivalry-in-the-workplace