หลังเป็นกระแสข่าวอยู่ในหน้าสื่อได้ระยะหนึ่ง ในที่สุด ‘อนาคตใหม่’ คือชื่อพรรคที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และกลุ่มของเขาได้เคาะแล้ว เพื่อเตรียมใช้ยื่นจดแจ้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งในวันนี้
ที่งานจิบกาแฟกับธนาธรวันนี้ บรรยากาศหนาแน่นไปด้วยทัพสื่อมวลชนที่มุ่งหน้ามายัง Warehouse 30 ณ ซอยเจริญกรุง 30 โดยมีนัดหมายกับ ‘ไพร่หมื่นล้าน’ และทีมของเขา ซึ่งมาในนาม ‘พรรคอนาคตใหม่’ พร้อมโลโก้พีระมิดหัวกลับ เพื่อเปิดใจต่อการจัดทัพลงสนามการเมืองในครั้งนี้ เปิดใจถึงการรวมตัวของผู้ร่วมอุดมการณ์กว่า 27 คน เพื่อลงมือสร้างการเมืองแบบใหม่ ไม่ให้ไทยต้องจมปลักอยู่บนความขัดแย้งที่ร้าวลึก จมกับ ‘ทศวรรษที่สูญหาย’ อีกต่อไป
ธนาธรเริ่มต้นด้วยการกล่าวทักทายแขกที่มาในวันนี้ และไล่เรียงถึงวัตถุประสงค์ของการมารวมตัวกัน โดยพูดถึงการสร้างสังคมประชาธิปไตยเป็นหัวใจหลักและยืนยันชัดเจนว่าอำนาจนอกระบบไม่สามารถที่จะเข้ามาแก้ไขได้ เพราะอนาคตใหม่คือการเชิดชูคุณค่าประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน เป็นการต่อสู่เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าและเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์ เพราะทุกคนมีความฝันและจินตนาการ “ดังนั้นทุกคนจึงมีสิทธิที่จะได้เดินตามความฝันและปกป้องความฝันตัวเองไว้”
ขณะที่การรวมตัวเพื่อก่อตั้งพรรคครั้งนี้มีผู้ร่วมอุดมการณ์ที่หลากหลาย และทุกคนมีพลังที่อยากจะสร้างสังคมประชาธิปไตยใหม่ ธนาธรบอกว่า เขาพร้อมสู้ทุกสนาม ทุกเขตเลือกตั้ง “เราจะต่อสู้เพื่อทุกคะแนนเสียง เพื่ออนาคตใหม่” และ “พรรคอนาคตใหม่ไม่ใช่ทางเลือก แต่เราจะเป็นทางหลัก” ของผู้ที่มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาประชาธิปไตย
ธนาธรยังย้ำอีกว่า อนาคตใหม่ไม่มีข้าง มีแต่จุดยืน พร้อมต่อสู้และประณามทุกกลุ่มที่ข้ามเส้นจุดยืนของพรรคทันที เพราะอุดมการณ์ทางการเมืองเป็นตัวกำหนดว่าเราจะถือข้างใคร และหากมีการประนีประนอมต่อแนวทางของพรรค ธนาธรประกาศว่า “ผมจะเป็นคนแรกที่ลาออก” และย้ำอีกว่า อนาคตใหม่ไม่เอานายกฯ คนนอก และไม่ขอมีส่วนร่วมกับกระบวนการนั้น
ขณะเดียวกันธนาธรยังเรียกร้องให้ คสช. เปิดโอกาสให้เสรีภาพทางการเมืองได้ขับเคลื่อน เรียกร้องให้ทุกฝ่ายสร้างประชาธิปไตยที่สร้างสรรค์ และอย่าทำให้ต้องมีการเสียเปรียบเรื่องเวลาอีกต่อไป “ทุกวันนี้ผมยังไม่สามารถเดินไปพบประชาชนได้”
ขณะที่วันนี้ ปิยบุตร แสงกนกกุล ขึ้นกล่าวบนเวทีอนาคตใหม่ ที่ตัดสินใจทิ้งหมวกนักวิชาการและเดินสู่หมวกใบใหม่ในมาด ‘นักการเมือง’ ที่จะตัดขาดจากบทบาทเดิมนับแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป
ปิยบุตรบอกว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยวนเวียนอยู่กับปัญหาความขัดแย้งมาเป็นเวลานานกว่าทศวรรษ และการเมืองแบบเผด็จการทหารได้ทับกดปัญหาไว้ภายใต้อำนาจปืน ยิ่งทำให้ปัญหาร้าวลึก ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ทั้งที่ผู้ที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างประชาชนด้วยกันเอง และผู้มีอำนาจพยายามที่จะตักตวงผลประโยชน์ของตนเอง
“การก่อตั้งพรรคเพื่อทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงและกลับไปสู่การเป็นประชาธิปไตย รวมทั้งต้องการกระตุกความคิดของคนในสังคมว่า ประเทศมีทางเลือกใหม่ในการกลับสู่การเลือกตั้ง และตระหนักว่าประชาชนเท่านั้นจะสามารถแก้ไขปัญหากันเอง พรรคอนาคตใหม่มีวิธีการจัดการแบบใหม่ เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองใหม่ มุ่งเน้นการกระจายอำนาจ การเมืองไทยจะเป็นแบบคิดแล้วต้องลงมือทำ ให้ทุกคนมีโอกาสในระบบเศรษฐกิจที่เท่าเทียม” โดยกล่าวทิ้งท้ายภายใต้แนวคิดที่ว่า อนาคตใหม่ประเทศไทย คือ อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนและเป็นประเทศไทยที่มีอนาคต
อย่างไรก็ตามเมื่อถูกถามถึงประเด็นที่ปิยบุตรเคยเรียกร้องในฐานะนักวิชาการ เมื่อสวมหมวกนิติราษฎร์ เกี่ยวกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่ามีจุดยืนอย่างไร หลังเข้ามามีบทบาททางการเมือง ปิยบุตรบอกว่า ที่ผ่านมากฎหมายถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง และการเสนอแก้ไขที่ผ่านมาก็ยืนอยู่บนหลักวิชาการโดยคำนึงถึงนิติรัฐและฐานของประชาธิปไตย จนถึงวันนี้มีหลายกรณีที่บ่งชี้ว่าต้องมีการปรับปรุงกฎหมายดังกล่าว ในอดีตเคยมีการตั้งกรรมการขึ้นมาศึกษาทิศทางในกระบวนการยุติธรรมก็เปลี่ยนไป อัยการสูงสุดมีอำนาจเพียงคนเดียวในการสั่งฟ้อง ส่วนจะเป็นนโยบายหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับระบบพรรคที่ต้องมีการพูดคุยและหารือร่วมกัน เพราะพรรคนี้เป็นของสมาชิกทุกคน
สำหรับวันนี้มีการเปิดตัวทีมอนาคตใหม่ ร่วมพูดคุยบนเวทีส่วนหนึ่ง ขณะที่เอกสารที่แจกต่อสื่อมีรายชื่อผู้เข้าร่วมกับอนาคตใหม่ในการจดแจ้งพรรคครั้งนี้เกือบ 27 คน โดยมาจากหลายกลุ่ม อาทิ นางสาวกุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ นักวิชาการอิสระด้านการศึกษา, นายชำนาญ จันทร์เรือง อาจารย์พิเศษด้านการเมืองและกฎหมาย, นางสาวนลัทพร ไกรฤกษ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์คนพิการ และนายสุรินทร์ คำสุข ประธานสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์บรรจุภัณฑ์