วันนี้ (19 กันยายน) ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม จัดกิจกรรมรำลึกครบรอบ 19 ปี การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และครบรอบ 5 ปีการชุมนุมใหญ่ที่ท้องสนามหลวงของกลุ่มเยาวชน 19 กันยายน 2563
ภายในงานมีการเสวนา ‘4 เดือนนี้ ชี้ชะตาการเมืองไทย’ โดย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ร่วมเป็นหนึ่งในวิทยากร โดยนอกจากการรำลึกเหตุการณ์ทั้งสองแล้ว วงเสวนายังมีการพูดคุยถึงสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันด้วย
ในช่วงหนึ่งของวงเสวนา มีการตั้งคำถามขึ้นมาว่าการยุบสภาจะเกิดขึ้นได้จริงภายใน 4 เดือนหรือไม่ ซึ่งธนาธรระบุว่า เหตุเดียวที่เชื่อว่าจะไม่มีวันที่ 121 คือการมีชีวิตรอดของภูมิใจไทยเอง ถ้าภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลอยู่ต่ออีก 6 เดือนหรือ 1 ปี ภูมิใจไทยจะได้อะไรและเสียอะไร แรงจูงใจทางการเมืองของภูมิใจไทยคือความต้องการปรับภาพลักษณ์ของตัวเอง
“ในอนาคตภูมิใจไทยต้องการเป็นพรรคใหญ่ ดังนั้น ถ้ามองในแง่นี้ วิธีการของภูมิใจไทยจึงไม่ใช่การอยู่ต่ออีกเดือนหรือปี แต่คือการทำตามสัญญา เพื่อเป็นพรรคใหญ่แทนที่พรรคประชาธิปัตย์ หรือเพื่อไทยสมัยก่อน ด้วยเหตุผลนี้ ผมจึงไม่คิดว่าจะมีวันที่ 121” ธนาธรกล่าว
ธนาธรระบุด้วยว่า แน่นอนว่าในทางเทคนิคอาจจะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นได้ จนอาจจะมีความล่าช้าเกิดขึ้น ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้นก็ต้องดูว่า การเลื่อนการยุบสภาออกไปมีเหตุผลเพียงพอหรือไม่ ซึ่งการตื่นตัวของภาคประชาสังคมที่จะช่วยกันกดดันเรื่องนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการทำให้สัญญาที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้ไว้ยังคงความศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ได้
ธนาธรกล่าวต่อไปว่า การตัดสินใจของพรรคประชาชนตั้งอยู่บนความเสี่ยงแน่นอน แต่เชื่อว่าที่เพื่อนในพรรคประชาชนตัดสินใจเช่นนั้น ก็เพราะเห็นว่าประตูที่จะนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญมีเพียงประตูนี้บานเดียว การเลือกของพรรคประชาชนครั้งนี้ จึงไม่ใช่การเลือกคนมีความรู้ความสามารถ ในอดีตทำอะไรไว้บ้าง หรือมีจริยธรรมหรือไม่ แต่ปัจจัยในการเลือกคือ ใครที่จะนำไปสู่การเปิดประตูแก้รัฐธรรมนูญได้มากกว่ากัน เมื่อเราไม่ได้ถือกุญแจ แต่เขาเป็นคนถือกุญแจ ก็ต้องมีการแลกเปลี่ยนและรับความเสี่ยงกัน ถือเป็นการตัดสินใจเสี่ยงเพื่อหยิบกุญแจนั้นมาไขกลอนเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ หากกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญเดินไปถึงจุดที่มีการลงประชามติได้จริง การรณรงค์ประชามติก็เป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ ทุกคนเคยเจอบทเรียนมาแล้วในการประชามติรัฐธรรมนูญในปี 2559 แต่การประชามติครั้งนี้มีต้นทุนที่สูงกว่ามาก ถ้าแพ้ก็ไม่รู้จะกลับมาแก้อย่างไรได้อีก
“ดังนั้น การบังคับให้การทำประชามติเกิดขึ้นพร้อมการเลือกตั้งทั่วไป เพื่อให้มีคนใช้สิทธิให้เยอะที่สุดจึงมีความจำเป็นมาก ถ้าทำประชามติโดดๆ ไม่มีใครกลับบ้านไปลงประชามติแน่ ดังนั้น ถ้ากระบวนการผ่านไปถึงจุดนั้นจริงๆ ก็ต้องขอแรงทุกคนมาช่วยกันรณรงค์ให้เต็มที่ ร่วมการถกเถียง สื่อสารให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารให้มากที่สุด ให้เห็นปัญหาของรัฐธรรมนูญให้มากที่สุด วางใจไม่ได้เด็ดขาดว่าจะผ่านโดยอัตโนมัติ” ธนาธรกล่าว