วานนี้ (23 พฤศจิกายน) ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ร่วมพูดคุยกับวงสนทนาทางแอปพลิเคชัน Clubhouse จัดขึ้นโดยคณะก้าวหน้า ในหัวข้อ ‘ทรูควบรวมดีแทค ดีกับทุนใหญ่ แล้วคนไทยได้อะไร?’ พร้อมแสดงความกังวลต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน จากกรณีการควบรวมกิจการระหว่างผู้ให้บริการโทรคมนาคมสองราย คือระหว่างทรู คอร์ปอเรชั่น และ ดีแทค ที่เป็นกระแสข่าวอยู่ในรอบสองวันที่ผ่านมา
โดยธนาธรระบุว่า ในทศวรรษที่ 2010-2020 มีการควบรวมกิจการโทรคมนาคมจาก 4 เหลือ 3 รายเกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก แล้วมีผลกระทบเกิดขึ้นกับผู้บริโภคในด้านราคา ซึ่งกรณีนี้มีรายงานอยู่ในงานศึกษาของ The European Regulators for Electronic Communications ผู้คุมกฎด้านการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ของสหภาพยุโรป ที่ได้ศึกษาการควบรวมผู้ให้บริการจาก 4 เหลือ 3 ผู้ให้บริการใน 3 ประเทศ คือ เยอรมนี ไอร์แลนด์ และออสเตรีย
ในกรณีเยอรมนี หลังจากที่ควบรวมไป 1 ปี ราคาค่าบริการเพิ่มขึ้นจาก 10 ยูโรเป็น 13 ยูโร เพิ่มขึ้น 30% ส่วนในไอร์แลนด์ เพิ่มจาก 16 ยูโรเป็น 18 ยูโร เพิ่มขึ้น 12.5% ในขณะที่ออสเตรีย เพิ่มขึ้นจาก 12 ยูโรเป็น 15 ยูโร หรือ 25%
แล้วยังมีกรณีศึกษาขององค์กรเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ในช่วงระหว่างปี 2000-2015 ศึกษาการควบรวมกิจการโทรคมนาคมในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งมีการควบรวมจาก 4 บริษัทเหลือ 3 บริษัททั้งหมด 18 ประเทศ พบว่ามีการขึ้นราคาค่าบริการหลังจากการควบรวม 9 กรณี และมีราคาที่ลดลงหลังการควบควม 9 กรณีด้วยกัน
ซึ่งหมายความว่า ถ้าดูกรณีของยุโรปอย่างเดียว 3 กรณี ราคาเพิ่มขึ้นทั้งหมด แต่ถ้าดูทั่วโลกของ OECD มีการขึ้นราคาครึ่งต่อครึ่ง ซึ่งยังเป็นอัตราที่น่ากลัวมาก หมายความว่าหลังจากควบรวมแล้ว มีโอกาสที่ราคาจะเพิ่มขึ้นถึง 50%
นอกจากนี้ ธนาธรยังเป็นห่วงว่า หากทั้งสองยักษ์ควบรวมกิจการกันแล้ว จะทำให้เหลือคู่แข่งการตลาด 2 ราย จนอาจเป็นเหตุนำไปสูงประเด็นค่าบริการขึ้นสูงขึ้ง หากยังคนไร้การกำกับดูแล พร้อมอธิบายว่า ในกรณีของไทย นี่จะเป็นการควบรวมจาก 3 รายไปเหลือ 2 ราย ซึ่งส่วนแบ่งตลาดปัจจุบัน ดูจากผู้ใช้บริการของแต่ละราย จะเห็นว่า AIS มีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด 40%, TRUE 30%, DTAC 19% ซึ่งถ้ารวมกันแล้ว หากเกิดการควบรวมขึ้นจริงจะมีหนึ่งรายที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับหนึ่งถึง 49% กลายเป็นการแข่งขันเพียงสองราย ซึ่งมีแนวโน้มอย่างมากว่าทั้งสองรายจะพอใจกับส่วนแบ่งตลาดที่ตัวเองถือครองอยู่ และจะไม่เกิดการแข่งขันขึ้นอีกต่อไป และมีความเป็นไปได้มาก ว่าอำนาจในการกำกับผู้เล่นสองรายนี้จะน้อยลงมาก ตนไม่ไว้ใจกลุ่มทุนทั้งสองกลุ่ม ว่าจะแข่งขันกันโดยเอาผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นตัวตั้ง และตนไม่คิดว่าจะมีหน่วยงานราชการใดมีความกล้าหาญพอที่จะไปตรวจสอบหลังจากที่ควบรวมแล้ว
“ผลกระทบที่ผมกังวลอีกประการหนึ่ง ก็คือการแข่งขันที่ไม่มีพลวัต ไม่มีแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการคิดค้นนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ จะทำให้นวัตกรรมขับเคลื่อนได้ช้าลง ซึ่งนี่เป็นอันตรายมากต่อศักยภาพในการแข่งขันของประเทศไทย” ธนาธรกล่าว
ธนาธรกล่าวต่อไปว่า จนถึงวันนี้หน่วยงานของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) หรือ สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ลุกขึ้นมาปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน ซึ่งหากปล่อยให้เกิดการควบรวมขึ้นมาแล้วมีผลกระทบเกิดขึ้นกับผู้บริโภคจริง ก็จะเป็นการสายเกินไปแล้วที่จะมาแยกออกวันหลัง
ดังนั้น ตนจึงคิดว่านี่คือจุดที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญมากของภาคโทรคมนาคมในประเทศไทย ถ้าปล่อยให้มีการควบรวมกันจริง จะเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสมาก สำหรับประเทศที่มีประชากร 69 ล้านคน กับการปล่อยให้มีการควบรวมธุรกิจคมนาคมจาก 3 รายเหลือ 2 ราย
“อย่าปล่อยให้กรณีนี้ผ่านไปโดยที่ไม่ถูกตรวจสอบ เพราะมันจะส่งผลกับทั้งรายได้ในกระเป๋าของทุกท่านเอง ที่จะต้องลดลงไปจ่ายเป็นค่าบริการที่เยอะขึ้น ผมเชื่อว่าราคาเพิ่มขึ้นแน่ๆ และไม่มีการควบคุมแน่ๆ และมันจะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศด้วย ถ้าธุรกิจคมนาคมโทรคมนาคมไม่มีการแข่งขัน มันจะทำให้ประเทศทั้งประเทศแข่งขันกับโลกไม่ได้เลย” ธนาธรกล่าว
นอกจากนี้ ธนาธรยังกล่าวว่าสิ่งที่ตนกังวลอีกประการหากเกิดการควบรวมขึ้น คือกรณีข้อมูลส่วนบุคคล เพราะอย่างที่เราเห็นมาตลอด ว่ารัฐไทยนิยมการควบคุมประชาชนแบบรัฐตำรวจ ซึ่งการมีผู้ประกอบการโทรศัพท์ที่ถือครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนเป็นจำนวนมากเพียงแค่สองราย และยังเป็นกลุ่มทุนที่ใกล้ชิดกับคณะรัฐประหาร 2557 ทำให้ตนกังวลเป็นอย่างมาก ว่าหลังจากที่ควบรวมกันแล้วจะไม่มีการปกป้องข้อมูลของประชาชน มีแนวโน้มที่ผู้ประกอบการจะให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการให้ข้อมูลส่วนตัวของประชาชนมากขึ้นเพื่อการควบคุมประชาชน
“ราคาของดาตาที่แพงขึ้นจะทำให้เกิด Digital Divide ครั้งใหญ่ โอกาสที่คนจำนวนมากจะสามารถปีนป่ายบันไดสถานะทางเศรษฐกิจของตัวเองให้สูงขึ้นไปในระหว่างรุ่นต่อรุ่นมันจะหายไปเลย แล้วผมคิดว่าเรื่องนี้มันเป็นมากกว่าเรื่องค่าบริการมือถือด้วย ถ้าเกิดปล่อยให้มีการควบรวมไป ความเหลื่อมล้ำที่มันถ่างกันมากอยู่แล้วจะถ่างขึ้นไปอีก” ธนาธรระบุ
อย่างไรก็ตาม ธนาธรยังกล่าวต่อไปว่าสำหรับบทบาทของ กสทช. ตนคิดว่าสิ่งที่ขาดหายไปเลยคือเจตจำนงที่จะต้องปกป้องผู้บริโภค ผู้ที่เสียเปรียบ และผู้ที่ไม่มีปากไม่มีเสียงในสังคม จากการติดตามข่าวเรื่องนี้มาตลอดสองวันที่ผ่านมา ตนสงสัยมากว่าทำไมหน่วยงานภาครัฐถึงไม่ปกป้องประชาชน แต่กลับเลือกไปปกป้องกลุ่มทุนแทน
แม้วันนี้จะยังมีข้อถกเถียงทางกฎหมายว่าอยู่ในอำนาจหน้าที่ขององค์กรไหน แต่สิ่งที่ทุกคนแสดงออกได้เลยคือทัศนคติ ว่าจะเลือกปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนหรือไม่ แต่เรากลับไม่เห็นสิ่งนี้ออกมาจากหน่วยงานหรือบุคคลในภาครัฐเลย
“มันเป็นเรื่องปากท้อง มันเป็นเรื่องอนาคตของลูกหลานของเรา ถ้าแรงทัดทานของสังคมไม่พอ ไม่มีแรงหนุนหลังให้คนดีๆ ที่อยู่ใน กสทช. ลุกขึ้นมากล้าต่อสู้ เรื่องนี้จะส่งผลกระทบใหญ่หลวงกับพวกเราทั้งหมด ผมคิดว่าเป็นความจำเป็นอย่างมาก ที่เราต้องส่งเสียงร่วมกัน ชักชวนให้ทุกคนช่วยกันพูดให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นสาธารณะ ทำให้เกิดแรงกดดันทางสังคมจนหน่วยงานรัฐไม่กล้าที่จะปิดหูปิดตาตัวเอง เพื่อไม่ให้ทรัพยากรธรรมชาติ ในกรณีนี้คือคลื่นความถี่ กลายเป็นทรัพยากรของคนรวย” ธนาธรกล่าวทิ้งท้าย