วันนี้ (8 ธันวาคม) ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า รับเชิญเป็นผู้บรรยายในงานสัมมนาของสมาคมข้าราชการส่วนท้องถิ่นแห่งประเทศไทย ซึ่งมีตัวแทนข้าราชการในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจากทั่วประเทศ มาร่วมประชุมกันที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยธนาธรได้กล่าวย้ำถึงหลักการพื้นฐานของการรณรงค์ ‘ปลดล็อกท้องถิ่น’ อีกครั้ง พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การบริหารท้องถิ่นที่เต็มไปด้วยปัญหาและอุปสรรคภายใต้ระบบรัฐรวมศูนย์ในปัจจุบัน
ธนาธรกล่าวว่า แม้จะเกิดการคว่ำร่างปลดล็อกท้องถิ่นไปแล้วเมื่อวานนี้โดยรัฐสภา แต่การขับเคลื่อนเพื่อปลดล็อกท้องถิ่นก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป เพราะเป็นอนาคตเดียวที่ประเทศไทยต้องเดินไปให้ถึง เพื่อให้สามารถเท่าทันโลกและแก้ปัญหาพื้นฐานของประชาชนได้ ไม่ใช่การเป็นประเทศที่ปล่อยให้ปัญหาพื้นฐาน เช่น การสร้างสะพานลอยหนึ่งแห่งในตำบล ต้องรอการอนุมัติจากส่วนกลางพร้อมกับใช้เวลาถึง 800 กว่าวันถึงจะเริ่มสร้าง นี่เป็นอัตราความเร็วของการพัฒนาที่ช้าเกินไป และนี่ต่างหากคือความสุดโต่งของรัฐราชการที่ไม่ยอมปล่อยให้ประเทศและประชาชนได้รับการพัฒนา
“การสร้างสะพานลอยไม่ควรเป็นหน้าที่ส่วนกลาง แต่ควรเป็นอำนาจของท้องถิ่น ซึ่งที่ผ่านมาได้รับงบประมาณและอำนาจไม่เพียงพอแม้แต่จะไปสร้างสะพานลอยในตำบลของตัวเองด้วยซ้ำ หน้าที่ของส่วนกลางคือเอาประเทศทั้งประเทศไปแข่งขันกับโลกต่างหาก ไม่ใช่มานั่งสร้างสะพานลอยทั้งประเทศ” ธนาธรยกตัวอย่าง
ธนาธรกล่าวต่อไปว่า การกระจายอำนาจในแบบปลดล็อกท้องถิ่นไม่ใช่เรื่องสุดโต่ง แต่เป็นเรื่องที่ประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลกทำกัน นั่นคือการแบ่งอำนาจให้ชัดเจนระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับพื้นฐาน ระดับจังหวัด และรัฐบาลกลางในระดับชาติ ไม่เคยเห็นใครพูดว่าญี่ปุ่นที่ปลดล็อกท้องถิ่นในทศวรรษที่ 1990 ทำเป็นเรื่องสุดโต่งหรือเร็วเกินไปเลย
ในทางกลับกัน ประเทศไทยกำลังตามโลกอยู่ในอัตราที่ช้าเกินไป ถ้าใช้อัตราการจัดสรรงบประมาณระหว่างส่วนกลางกับท้องถิ่นในปัจจุบันต้องใช้เวลาถึงปี 2606 กว่าที่ท้องถิ่นจะได้รับจัดสรรงบประมาณเป็น 40% และถ้าประเทศยังเดินไปแบบนี้ต่อไป สุดท้ายประเทศไทยจะตกขบวน ทำอะไรได้ไม่ดีสักอย่าง ทั้งในการแข่งขันกับโลกและการแก้ปัญหาหน้างานของประชาชน
“ถ้ายังใช้ระบบบริหารราชการแผ่นดินแบบนี้ต่อไป อีก 40 ปีข้างหน้าส่วนกลางก็จะยังคงต้องมาแก้ปัญหาสะพานลอยทุกตำบลในประเทศอยู่เรื่อยไป ประเทศที่รัฐบาลกลางต้องมานั่งสร้างสะพานลอยเองในทุกตำบลจะเอาเวลาที่ไหนไปพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไปพัฒนานวัตกรรมให้ไปแข่งขันกับโลกได้ เพราะฉะนั้นร่างฯ นี้ไม่ได้สุดโต่งไปแน่ๆ แต่สิ่งที่เป็นอยู่นี้ต่างหากที่กำลังกักขังอนาคตของประเทศไทย” ธนาธรกล่าว
ธนาธรกล่าวต่อไปว่า ดังนั้นการปลดล็อกท้องถิ่นจะไม่ใช่แค่เรื่องคุณภาพชีวิตของประชาชน แต่จะเป็นการปลดปล่อยพลังทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของประเทศ ทลายคอขวดที่อยู่ส่วนกลาง ดึงพลังของคนทั้งสังคมมาแก้ปัญหาร่วมกัน ที่ผ่านมาเราเห็นแล้วว่าท้องถิ่นมีศักยภาพที่จะทำได้ มีตัวอย่างดีๆ มากมาย ซึ่งถ้าให้อำนาจ งบประมาณ และความเป็นอิสระมากกว่านี้ อปท. จะได้พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนดียิ่งกว่านี้ ส่วนรัฐบาลส่วนกลางก็จะได้เอาเวลาไปหาทางพัฒนาศักยภาพการแข่งขันในระดับโลกแทน