จากกรณีที่ เคท ครั้งพิบูลย์ ซึ่งเป็นผู้สมัครและได้ผ่านการคัดเลือกเป็นอาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กระทั่งในเวลาต่อมา คณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยมีมติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2558 ว่าไม่สมควรว่าจ้าง โดยเคทได้อุทธรณ์มติดังกล่าวและนำเรื่องยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง
และเมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติของคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยที่ไม่ว่าจ้างเคทในตำแหน่งอาจารย์ โดยระบุเหตุผลว่า แม้พฤติกรรมของเคทที่แสดงออกทางโซเชียลมีเดียจะไม่เหมาะสม แต่ไม่ถึงขนาดเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีที่มหาวิทยาลัยจะไม่ว่าจ้าง โดยศาลได้พิพากษาด้วยว่ามติที่คณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยไม่ว่าจ้างไม่ได้เกี่ยวกับประเด็นเพศสภาพ
กระทั่งในวันที่ 19 มีนาคม ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยที่มี รศ.เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดี เป็นประธาน ได้ทบทวนมติที่เคยไม่รับและน้อมรับคำพิพากษา โดยมีมติเห็นพ้องตรงกันว่าให้รับ เคท ครั้งพิบูลย์ เป็นอาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ และมีมติไม่อุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด
ล่าสุดวันนี้ เคท ครั้งพิบูลย์ เปิดเผยกับ THE STANDARD ว่าคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มีจดหมายซึ่งลงนามโดย ศ.ดร.โกวิทย์ พวงงาม คณบดี เรียกให้มารายงานตัวเข้าเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยระบุว่า ตามที่ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาเพิกถอนมติคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัย ครั้งที่ 5/2558 เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2558 ที่ไม่ว่าจ้างคุณเคท หรือคทาวุธ ครั้งพิบูลย์ เป็นพนักงานมหาวิทยาลัยสายวิชาการ ตำแหน่งอาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ และคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัย ในการประชุมครั้งที่ 6/2561 เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2561 ได้มีมติเห็นชอบไม่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลางกรณีคุณคทาวุธ ครั้งพิบูลย์ และให้จ้างคุณคทาวุธ ครั้งพิบูลย์ เป็นพนักงานมหาวิทยาลัยสายวิชาการ ตำแหน่งอาจารย์สังกัดคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ต่อไปนั้น
ในการนี้ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์จึงขอให้ท่านรายงานตัวเข้าเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่อปฏิบัติงานที่คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ภายในวันที่ 7 มิถุนายน 2561
เคทเปิดเผยความรู้สึกว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ทำงานในฐานะนักวิชาการ โดยเฉพาะการเป็นอาจารย์เป็นสิ่งที่ตัวเองตั้งใจมาโดยตลอด เมื่อการแต่งตั้งเป็นอาจารย์ดำเนินมาตามขั้นตอนและจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 7 มิถุนายนเป็นครั้งแรกก็จะต้องตั้งใจและเตรียมพร้อมสำหรับการสอน
“จากนี้ไปก็คงจะชัดเจนแล้วว่างานอาจารย์คือเส้นทางที่เลือก แม้ที่ผ่านมาจะมีการเข้าร่วมงานหรือกิจกรรมทางการเมืองกับกลุ่มการเมือง ก็ต้องถือว่าเป็นบทบาทก่อนที่จะมาเป็นอาจารย์ จึงอาจต้องยุติงานในส่วนนั้นทั้งหมดเพื่อทุ่มเทการทำหน้าที่อาจารย์ เพราะต้องเตรียมความพร้อมในการสอนสำหรับนักศึกษา แต่ว่าเราเองก็ยังมีบทบาทในฐานะประชาชนที่ต้องสังเกตการณ์สังคม ความเคลื่อนไหวต่างๆ หากมีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ก็พร้อมให้ข้อสังเกตและคำแนะนำ” เคทกล่าว
สำหรับหนังสือเรียกรายงานตัวของเคทมีจุดที่น่าสังเกตคือการใช้คำนำหน้านามโดยระบุว่า ‘คุณ’ มิได้ใช้ ‘นาย’ ตามเพศสภาพ ซึ่งตรงนี้เคทก็มองว่าเป็นก้าวย่างหนึ่งที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ความสำคัญต่อประเด็นทางเพศ