วันนี้ (8 สิงหาคม) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2565 ศาลภาษีอากรกลาง มีคำพิพากษาคดีความแพ่ง หมายเลขดำ ภ.220/2563 ที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง กรมสรรพากร, พงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์ ผู้แทนอธิบดีกรมสรรพากร, ประภาส สนั่นศิลป์ ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด จำเลยที่ 3, พิสิทธิ์ ศรีวรานันท์ จำเลยที่ 1-4 ผู้แทนกรมการปกครอง ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ กรณีประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากการขายหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 17,000 ล้านบาท โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า การที่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ถือเอาการออกหมายเรียก พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย และ พินทองทา ชินวัตร บุตรสาว ในฐานะตัวแทนเชิด เป็นการออกหมายเรียกโจทก์ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากรในฐานะตัวการ เป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการประเมินต้องออกหมายเรียกไปยังโจทก์ซึ่งเป็นผู้ถูกประเมินโดยตรง
แต่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานประเมินมิได้ออกหมายเรียกตรวจสอบโจทก์ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับนิติกรรมที่ทำขึ้นไม่ก่อให้เกิดการโอนกรรมสิทธ์ในหุ้นของบริษัทชินคอร์ปแต่อย่างใด โดยยังถือว่าโจทก์เป็นเจ้าของหุ้นบริษัทดังกล่าวอยู่ โจทก์จึงมิใช่ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 และมิใช่ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร มีผลทำให้การประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2-4 ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่วินิจฉัยยืนตามการประเมิน ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน แต่เจ้าพนักงานประเมิน และจำเลยที่ 2-4 กระทำไปตามอำนาจหน้าที่ จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว
พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2-4 ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้ยังอยู่ในระยะเวลาการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา โดยขณะนี้ยังไม่ปรากฏว่ามีคู่ความยื่นอุทธรณ์
สำหรับคดีนี้เป็นคดีหลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้พิพากษาคดีที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้องทักษิณ คดีร่ำรวยผิดปกติ ขอให้ริบทรัพย์สิน 76,000 ล้านบาท พร้อมดอกผลที่ได้มาจากการขายหุ้น บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น ตกเป็นของแผ่นดิน
องค์คณะพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ทักษิณใช้อำนาจขณะดำรงตำแหน่งนายกฯ ออกนโยบายเอื้อประโยชน์ บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น ที่ครอบครัวถือหุ้น ทำให้มีทรัพย์สินร่ำรวยผิดปกติ จึงให้ยึดทรัพย์สินในชื่อ ทักษิณและครอบครัว ที่ได้จากการขายหุ้น บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น จำนวน 46,000 ล้านบาทเศษ พร้อมดอกผล ตกเป็นของแผ่นดิน
ต่อมาช่วงปี 2549-2552 กรมสรรพากรได้ประเมินภาษีโอนหุ้นชินคอร์ปกับพานทองแท้ และพินทองทา ทำนองว่าเป็นตัวแทนของทักษิณ จึงต้องเก็บภาษีจากคนทั้งสอง นำมาสู่การฟ้องร้องคดีนี้