เว็บไซต์สำนักข่าว Nikkei Asia เผยแพร่บทสัมภาษณ์อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวานนี้ (18 พฤศจิกายน) โดยมีการแสดงความเห็นในหลายประเด็น ทั้งสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลกและผลกระทบจากการกลับสู่อำนาจของ โดนัลด์ ทรัมป์ ตลอดจนแนวทางการพัฒนาของไทย และประเด็นที่เกี่ยวกับคนในครอบครัว ทั้งกรณีความเป็นผู้นำของ แพทองธาร ชินวัตร ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และกรณีของน้องสาวหรืออดีตนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ยังอยู่ระหว่างลี้ภัย ซึ่งเขาเผยว่าอาจจะสามารถกลับไทยได้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีหน้า
Nikkei Asia ระบุว่า การให้สัมภาษณ์ของทักษิณครั้งนี้ถือเป็นการให้สัมภาษณ์สื่อใหญ่ครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เขากลับไทยเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว
โดยในประเด็นผลกระทบจากรัฐบาลทรัมป์ 2.0 นั้น ทักษิณได้เรียกร้องรัฐบาลไทยให้มีมาตรการสร้างแรงจูงใจแก่ผู้ประกอบธุรกิจและการลงทุนในสหรัฐฯ เนื่องจากการที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้กลับมารับตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ให้ความสำคัญต่อการค้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะที่เขากังวลว่าการค้าของไทยที่เกินดุลมากเกินไปอาจกลายเป็นเป้าหมายการตอบโต้ของรัฐบาลสหรัฐฯ เนื่องจากที่ผ่านมาทรัมป์ประกาศคำมั่นว่าจะขึ้นภาษีศุลกากรเพื่อปรับปรุงดุลการค้าของประเทศ
“ผลกระทบจากการกลับมามีอำนาจของทรัมป์จะขยายมาถึงไทยด้วยเช่นกัน จำเป็นต้องมีมาตรการเพื่อกระตุ้นให้บริษัทไทยลงทุนในสหรัฐฯ เพื่อบรรเทาแรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า” เขากล่าว
นอกจากนี้เขายังกล่าวถึงสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งทักษิณเชื่อว่าจะเป็นแรงหนุนให้เศรษฐกิจไทยที่มีนโยบายรักษาความเป็นกลาง
โดยกรณีที่ไทยพยายามจะสมัครเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS นั้น ทักษิณมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่จะช่วย ‘รักษาสมดุลด้านการทูตของไทย’ โดยเขาคาดหวังว่าไทยจะได้รับการลงทุนเพิ่มขึ้นผ่านนโยบายการทูตที่เป็นไปอย่างสมดุล
Nikkei Asia ยังชี้ถึงปัญหาของไทยที่ตกอยู่ใน ‘กับดักรายได้ปานกลาง’ โดยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจหลังสิ้นสุดการระบาดของโควิดยังคงต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เช่น อินโดนีเซียและเวียดนาม ซึ่งทักษิณให้ความเห็นว่า “เสถียรภาพทางการเมืองและการเติบโตอย่างรวดเร็วมีความจำเป็น เพื่อให้ไทยหลุดพ้นจากสถานการณ์ในปัจจุบัน”
โดยเขาเน้นย้ำว่าเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับไทยในการที่จะเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองที่ไร้เสถียรภาพในปัจจุบัน ซึ่งความไม่สงบทางการเมืองส่งผลให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนลดลง
ทักษิณยังตอบคำถามเกี่ยวกับความเป็นผู้นำของ แพทองธาร ชินวัตร ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของไทย โดยชี้ว่าบุตรสาวของเขา “ประสบความสำเร็จในการผสมผสานประสบการณ์ของเขาในฐานะนักการเมือง กับความคิดของคนรุ่นใหม่” และเสริมว่าเขาให้ความเคารพบุตรสาวและปฏิเสธที่จะให้คำแนะนำด้านนโยบายที่เฉพาะเจาะจงแก่เธอ
ส่วนประเด็นการกลับไทยของอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ทักษิณกล่าวว่า เขาพยายามสร้างความมั่นใจว่าน้องสาวของเขาจะสามารถกลับไทยได้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีหน้า
“ผมไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไรที่ขัดขวางเธอ (ยิ่งลักษณ์) ไม่ให้กลับบ้าน ผมคิดว่าเธออาจจะกลับมาก่อนหน้านั้นนิดหน่อย ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาส (ที่เหมาะสม)” ทักษิณกล่าว
นอกจากนี้ทักษิณยังให้ความเห็นต่อกรณีของ เศรษฐา ทวีสิน ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ก่อนที่บุตรสาวของเขาจะเข้ารับตำแหน่งแทน โดยมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ‘ไม่คาดคิด’ และกล่าวว่าบุตรสาวของเขาใส่ใจและระมัดระวังอย่างยิ่ง ‘เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ประสบชะตากรรมเดียวกัน’
โดยเขายังแสดงความกังวลต่อสถานการณ์การเมืองไทยที่มีการใช้อำนาจทางกฎหมายบ่อยครั้งเพื่อกำจัดคู่แข่งทางการเมือง
ซึ่งในกรณีเกี่ยวกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เขาปฏิเสธว่าเป็น ‘ข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลอย่างสิ้นเชิง’ และแสดงความเชื่อมั่นว่าจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ
อ้างอิง: