สรุปโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 วงเงิน 115,000 ล้านบาท คาดกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 0.4% เพิ่มการจ้างงาน 7.4 ล้านคน พบว่า 73% ของเม็ดเงินไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนที่เหลือไปช่วยผลกระทบภาคการส่งออก เพิ่มผลิตภาพ และดิจิทัล ไปจนถึงภาคการท่องเที่ยว
พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท โดยมีโครงการผ่านการพิจารณาวงเงิน 115,375 ล้านบาท
วงเงินที่ผ่านการพิจารณาสามารถแบ่งออกไปใช้จ่ายในโครงการ 4 ประเภทหลัก ได้แก่
- ด้านโครงสร้างพื้นฐาน วงเงินรวม 85,000 ล้านบาท (กว่า 73%) ซึ่งรวมทั้ง โครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำและโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม
- ด้านการท่องเที่ยว วงเงินรวม 10,053 ล้านบาท (ราว 8.7%)
- ด้านลดผลกระทบภาคการส่งออก เพิ่มผลิตภาพ และดิจิทัล วงเงินรวม 11,122 ล้านบาท (ราว 9.6%)
- ด้านเศรษฐกิจชุมชนและอื่นๆ จำนวน 9,201 ล้านบาท (ราว 7.9%)
คาดกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 0.4% เพิ่มการจ้างงาน 7.4 ล้านคน
พิชัยยังระบุด้วยว่า เม็ดเงิน 115,375 ล้านบาทจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.4% ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในทุนมนุษย์และการปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้เอื้อต่อการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพิ่มผลิตภาพแรงงาน และวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาว
รวมทั้งจะสนับสนุนให้เกิดการจ้างงานไม่น้อยกว่า 7.4 ล้านคน วงเงินการจ้างงาน 34,008 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 30% ของของเม็ดเงินรวมที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 115,375 ล้านบาท
“แผนการขับเคลื่อนฯ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยการเร่งรัดการใช้จ่ายผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถดำเนินการได้ทันที ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการจ้างงาน กระจายรายได้ และสร้างเม็ดเงินหมุนเวียน ในระบบเศรษฐกิจ”
พิชัยย้ำว่าการอนุมัติข้อเสนอโครงการฯ เป็นการอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณเท่านั้น ในขั้นตอนการขอรับ การจัดสรร และการเบิกจ่ายงบประมาณ จะต้องมีการตรวจสอบโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
เม็ดเงินกระจายไปจังหวัดเล็ก-รายได้ต่อหัวต่ำ
พิชัยกล่าวอีกว่า เม็ดเงินที่ผ่านการพิจารณากระจายไปยังภูมิภาคที่มีรายได้ต่อหัวต่ำในสัดส่วนที่สูงกว่าพื้นที่อื่น โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะที่ภาคตะวันออก กรุงเทพฯ และภาคกลาง ซึ่งมีรายได้ต่อหัวสูง จะมีการกระจายวงเงินงบประมาณในสัดส่วนที่น้อยกว่า
โดยจังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจเล็กได้รับวงเงินที่ผ่านการพิจารณามากกว่าจังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่า ทำให้เกิดผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจมากกว่า
นอกจากนี้การกระจายวงเงินงบประมาณมีความทั่วถึงทั้งในระดับจังหวัดและอำเภอ ทุกพื้นที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านน้ำและด้านคมนาคม ถือเป็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะกลางถึงระยะยาว
ส่วนเม็ดเงินที่ลงทุนสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง ก่อให้เกิดผลเชื่อมโยงไปยังสาขาเศรษฐกิจต้นน้ำและปลายน้ำ (Forward และ Backward Linkage) เช่น สาขาก่อสร้าง สาขาค้าปลีกค้าส่ง สาขาการเงิน และบริการอื่นๆ เป็นต้น
ทั้งนี้ ในระยะต่อไปคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจจะติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และจะพิจารณากำหนดนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จำเป็นและเหมาะสม เพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจต่อไป